ภาพ: @chanelofficial และ Gerson Lirio x Fashiontomax
แม้ Virginie Viard แห่งแบรนด์ ชาเนล จะยังไม่เปิดโอกาสให้สื่อใดสัมภาษณ์ถึงคอนเซปต์การสร้างงานของเธออย่างจริงจัง แต่ในช่วงจังหวะเร่งสร้างการรับรู้เรื่องการมีอยู่ของเธอในอุตสาหกรรมแฟชั่นโลก ผ่านสไตล์ประจำแบรนด์ยุคหลัง Karl Lagerfeld ที่เธอวางหมากไว้ ก็ค่อนข้างชัดเจนพอตัวแล้วหลังผ่านมา 5 คอลเล็กชั่นหลัก กล่าวคือ เรียบ รายละเอียดต้องมองใกล้ๆ และฉีกแนวจากวิธีการออกแบบของคาร์ล แต่ใกล้กับแนวคิดของ Gabrielle Coco Chanel มากกว่า

Virginie Viard ออกมาหลังจบโชว์คอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ของ Chanel ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2020 / ภาพ: Vogue Runway
ข้อดีของการมาถึงของเธอ (ทั้งๆ ที่อยู่ในแบรนด์มา 3 ทศวรรษ) คือ แบรนด์มีโอกาสหยิบประเด็นเดิมๆ กลับมาขยี้เล่นได้ใหม่ เนื่องเพราะเมื่อดีไซเนอร์ต่างไป แนวคิดและมุมมองการนำเสนอก็เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ แฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ประจำฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2020 (ซึ่งเพิ่งจัดแสดงไปเมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ 21 มกราคม ตามเวลาปารีส) จึงมีโอกาสพาผู้ชมกลับไปเยี่ยมจุดกำเนิดของห้องเสื้ออีกครั้ง คล้ายดั่งตอกย้ำการกำเนิดใหม่รอบที่ 4 ของแบรนด์ในยุคมิลเลนเนียม (ครั้งแรกคือยุคก่อตั้งแบรนด์ของมาดมัวแซล ครั้งที่ 2 คือการกลับมายุคหลังสงครามโลก ครั้งที่ 3 คือยุคของคาร์ลจากปี 1983 และยุคปัจจุบันคือยุคของวีร์ฌีนี)

ก้อนหินมนกลมเรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์แบรนด์ Chanel / ภาพ: @chanelofficial
แอคเคาต์อินสตาแกรม @chaneloffical บอกใบ้ไว้ก่อนหน้านี้ 3 วันเต็มๆ ผ่านภาพถ่ายโลโก้อักษร C ไขว้ของแบรนด์บนผิวสัมผัสคล้ายดังถนน ซึ่งก่อเรียงขึ้นจากก้อนหินกลมมน แนวหินนี้พาเราย้อนกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โอบาชีน (Aubazine) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์นางชีในฝรั่งเศสตอนกลาง ที่ผู้เป็นพ่อนำกาเบรียล ชาเนลไปฝากเลี้ยงไว้ ก่อนการฝากจะกลายเป็นการทิ้ง เพราะเขาไม่เคยกลับมารับ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเกมแห่งจินตนาการของเด็กหญิง

ภาพบนอินสตาแกรมของ Chanel ที่เผยแรงบันดาลใจของโชว์นี้ว่ามาจากสวนในโอบาชีน / ภาพ: @chanelofficial
ว่ากันว่าเด็กหญิงกาเบรียลผู้เข้ากับใครไม่ได้และนิยมแต่งเรื่องพาฝัน เพื่อหลบลี้จากความทุกข์ยากในโลกแห่งความเป็นจริงมักปลีกวิเวกมาเล่นนับหินและกระโดดเล่นบนแนวหินนี้คนเดียว จวบจนเมื่อเธอพาตัวเองออกจากสำนักนางชีผู้เคร่งครัด ผ่านชีวิตโลดโผนหลังก้าวเข้าสู่แวดวงการแสดงกลางคืน และเริ่มต้นบุกเบิกลุคแฟชั่น ที่มอบอิสรภาพให้กับสตรีทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แนวหินเช่นในภาพนี้ก็มีส่วนในการสร้างโลโก้สัญลักษณ์ประจำแบรนด์ในเวลาต่อมา (บ้างว่าเป็นลายกระจกโบสน์ ในขณะที่บ้างว่าโลโก้ของเธอคือลักษณะของห่วงร้อยด้ายในงานตัดเย็บ)

ภาพมุมสูงของเซตติ้งในโชว์ครั้งนี้ / ภาพ: @chanelofficial
จะด้วยอะไรก็ตามแต่ ภาพรวมของโชว์นี้คือเงาสะท้อนของสิ่งที่ก่อร่างสร้าง “กาเบรียล” ขึ้นเป็น “โกโก้”...เหล่านางแบบก้าวออกมาในสวนรกร้าง ที่เมื่อมองจากมุมสูงปรากฏเป็นภาพไม้กางเขน พร้อมสระน้ำพุ ณ จุดกึ่งกลาง แบรนด์ระบุชัดว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนของโบสถ์ข้างต้น จริงอยู่ที่ลุคของมันช่างห่างไกลจากความยิ่งใหญ่อลังการของกระสวยอวกาศ หอไอเฟล หรือแม้แต่ซุ้มสวนฝรั่งเศสอันรุ่มรวยก่อนหน้านี้ แต่ในแง่ของคอนเทนต์นั้น เรามิอาจปฏิเสธได้ว่ามันเต็มอิ่มและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้มากกว่าเซตติ้งซูเปอร์มาเก็ตเป็นไหนๆ

Vittoria Ceretti นางแบบที่ปรากฏโฉมเป็นคนแรกในโชว์ครั้งนี้ / ภาพ: Vogue Runway
ผลงานการออกแบบทั้งสิ้น 62 ลุคเปิดประเดิมผ่านลุคแรกโดยนางแบบสาว Vittoria Ceretti ที่ชุดของเธอกรีดร้องอย่างเงียบงันราวเสียงเอ็กโค่ตามระเบียงโบสถ์มืดมิดว่า “เด็กกำพร้า!” จริงอยู่ที่คุณมีสิทธิ์ตั้งคำถามว่าเหตุใดมันจึงเศร้าเพียงนั้นในทศวรรษที่โลกแฟชั่นกำลังต้องการแสง สี เสียง ความสดใสและความตระการตา แต่เมื่อมองในแง่ความลึกล้ำของการสร้างงานแล้ว เราควรให้คะแนนความตั้งใจทำการบ้านของวีร์ฌีนี เพราะบทอ้างอิงนั้นชัดมาตั้งแต่แนวถุงเท้าและความยาวของช่วงแนวกระโปรง ซึ่งกระเถิบสั้นราวกระโปรงเด็กนักเรียนถึง 16 ลุค หรือเกือบ 1 ใน 4 ของคอลเล็กชั่น

ลุคคอปกนางชีที่กลายเป็นจุดเด่นในคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ครั้งนี้ / ภาพ: Vogue Runway
ช่วงคอปกเสื้อคือหัวใจหลักของงานออกแบบในคอลเล็กชั่นนี้ ไม่ต้องเดาเราต่างก็คุ้นชินว่ามันคือแนวคอปกของนางชีแทบทุกสำนัก ดีไซเนอร์หยิบยกส่วนสำคัญดังกล่าวมาดัดแปลง โดยอิงกับผลงานในยุคตั้งไข่ของผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่เลือกฉวยคว้าความไม่น่าอภิรมย์นี้มาสร้างสรรค์จนโด่งดังเป็นสไตล์ประจำตัว รายละเอียดต่างๆ ในสำนักชีนั้นคือสไตล์แรกที่เธอเรียนรู้ และในยุคสมัยสาว Gibson Girl ครองเมือง ที่การแต่งกายเปิดเปลือยเห็นไปถึงไหนๆ จนไม่ต้องใช้จินตนาการใดๆ สัมผัส งานออกแบบของชาเนลซึ่งปิดมิดและติดกลิ่นคอสเพลย์สาววัยกระเตาะเบาๆ กลับสามารถสร้างเสน่ห์ลึกลับให้กับสตรีได้

โทนสีขาว ดำ และเทาที่เป็นแกนหลักของคอลเล็กชั่นนี้ / ภาพ: Vogue Runway
(การไม่มี) สีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดในคอลเล็กชั่นนี้ ที่เล่นตรงๆ กับขาว ดำ และกรมท่าเป็นหลัก มันพาเราย้อนรอยกลับไปยังเหตุการณ์สำคัญเมื่อ Paul Poiret อดีตดีไซเนอร์จากศตวรรษก่อนหน้าถากถางมาดมัวแซลในการปะทะกันครั้งหนึ่งว่า “เธอสวมสีดำไว้ทุกข์ให้ใครกันหรือจ๊ะ” เพียงเพื่อจะเปิดโอกาสให้นางพญาได้ลับคมฝีปากกล้าของเธอผ่านคำตอบในตำนาน “ฉันไว้ทุกข์ให้กับเธอ” ก่อนจะคงสีดำเป็นของโปรดของเธอเรื่อยมา จนมันได้รับการสถาปนาใหม่เป็นความคลาสสิกในท้ายที่สุด

ลุคฟินาเล่ที่ปิดท้ายโชว์อย่างสวยงาม / ภาพ: Vogue Runway
ทีเด็ดที่แยบยลที่สุดเดินทางมาถึงในลุคฟินาเล่ ซึ่งออกแบบให้เป็นชุดแต่งงานสีขาวนวล จับพลีตด้านหน้า ช่วงคอปกโค้งโอบแนวบ่าเป็นคอบัว ไม่นับรวมผ้าคลุมหน้าที่ระแนวผมเรียบเนี้ยบทิ้งไปทางด้านหลัง หากมองในอีกแง่หนึ่ง มันคือชุดรับศีลดีๆ นี่เอง งานนี้ผลงานชวนคิด (และชวนถก) จึงนอนมาพร้อมคำถามสำคัญที่ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะไหว้พร้อมถอนสายบัวสวยๆ ให้กับดีไซเนอร์ชั้นครู ผู้กล้าเสี่ยงนำชุดนักเรียนศาสนา ชุดวิวาห์ หญิงบริสุทธิ์ เจ้าสาว และนางชีพรหมจรรย์ มารวมกันไว้ในลุคเดียวเช่นนี้
หากใครต้องการชมภาพลุคทั้งหมดในโชว์ครั้งนี้คลิก ที่นี่
Gentle Monster จับมือร่วมกับ Google ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งโลกแฟชั่น เปิดตัวแว่น AI อัจฉริยะ!
‘LOEWE’ เผยคอลเล็กชั่น ‘Puzzle 10’ ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบกระเป๋าพัซเซิลชิ้นไอคอนิก
Dior เผยคอลเล็กชั่น ‘Dioriviera’ พร้อมออกเดินทางสัมผัสเสน่ห์แห่งความสุขไม่มีที่สิ้นสุด