Vogue Thailand

เมื่อการปล่อย ‘รีมิกซ์’ คือสูตรสำเร็จบิลบอร์ดที่ 'Old Town Road' โค่นแชมป์ 'One Sweet Day'

หลังจากที่เพลง “One Sweet Day” ครองตำแหน่งเพลงที่ติดอันดับหนึ่งยาวนานที่สุดถึง 16 สัปดาห์บนชาร์ตบิลบอร์ดมานาน 23 ปี ถูกโค่นแชมป์โดยศิลปินหน้าใหม่ ลิล แนส เอ็กซ์ ที่พาเพลงคันทรี่แร็ป “Old Town Road” ครองอันดับหนึ่งได้นานถึง 17 สัปดาห์ สร้างประเด็นถกเถียงกันถึง ‘ความไม่แฟร์’ ในการนับยอดเพื่อจัดอันดับเพลงของบิลบอร์ดระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก หรือหากจะบอกว่าเป็นการมองต่างมุมระหว่างคนฟังเพลงยุคแอนาล็อกกับยุคดิติตอล ก็คงไม่ผิดนัก

โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์
07 สิงหาคม 2562

ภาพ: Billboard

 

    หลังจากที่เพลง “One Sweet Day” ครองตำแหน่งเพลงที่ติดอันดับหนึ่งยาวนานที่สุดถึง 16 สัปดาห์บนชาร์ตบิลบอร์ดมานาน 23 ปี ถูกโค่นแชมป์โดยศิลปินหน้าใหม่ ลิล แนส เอ็กซ์ ที่พาเพลงคันทรี่แร็ป “Old Town Road” ครองอันดับหนึ่งได้นานถึง 17 สัปดาห์ สร้างประเด็นถกเถียงกันถึง ‘ความไม่แฟร์’ ในการนับยอดเพื่อจัดอันดับเพลงของบิลบอร์ดระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก หรือหากจะบอกว่าเป็นการมองต่างมุมระหว่างคนฟังเพลงยุคแอนาล็อกกับยุคดิติตอล ก็คงไม่ผิดนัก

 

    สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าบิลบอร์ดมีวิธีอย่างไรในการจัดอันดับเพลงแต่สัปดาห์ ขออธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจก่อนละกันครับ 

    ชาร์ตเพลงฮิตหลักที่เรียกว่า Billboard Hot 100 เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1958 โดยนิตยสารดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของฝั่งอเมริกาอย่าง Billboard ซึ่งช่วงนั้นจัดอันดับจากการวัดยอดแอร์เพลย์ทางสถานีวิทยุที่เรียกว่า 'ออเดียนซ์ อิมเพรสชั่น' (Audience Impressions) โดยคำนวณด้วยการนำจำนวนครั้งที่สถานีเปิดเพลงนั้นไปคูณกับจำนวนผู้ฟังโดยเฉลี่ยของสถานี + ยอดขายซิงเกิลที่เป็นแบบ Physical (ซึ่งในสมัยแรกมีเพียงแผ่นเสียง ต่อมาก็เริ่มมีคาสเซ็ตต์เทป และมาถึงยุคเฟื่องฟูของซีดี) ซึ่งวัดผลโดย Nielsen Soundscan บริษัทนับยอดเพลงและวิดีโอของอเมริกาที่เชื่อถือได้ 

    พูดง่ายๆ ว่า “ยอดเปิดเพลง” บวกกับ “ยอดขายแผ่น” เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ยุค 50’s จนถึงยุค 90’s 

    ด้วยข้อจำกัดในการเสพดนตรีซึ่งมีอยู่ไม่กี่ช่องทาง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในยุค 90’s จะมีการขายแผ่นซีดีซิงเกิล (หรือซีดีอัลบั้ม) ได้มากเป็นจำนวนหลายล้านหรือหลายสิบล้านแผ่น กระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคมิลเลเนียมที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายแอนาล็อกสู่ดิจิตอล อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิต ไฟล์เพลงดิจิตอลอย่าง MP3 หรือร้านขายเพลงดิจิตอลอย่าง iTunes จึงถือกำเนิดขึ้นและมาแรงมากจนทำให้ยอดขายซีดีตกฮวบ เมื่อเป็นเช่นนั้น บิลบอร์ดจึงเปลี่ยนกฏให้การจัดอันดับเพลง สามารถนับรวมยอดขายเพลงแบบดิจิตอลดาวน์โหลดเข้ามาด้วยนับตั้งแต่ชาร์ตวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2005 รวมทั้งมีการตั้งชาร์ตใหม่ชื่อ Digital Song (อันดับ 1 เพลงแรกคือ “Just Lose It” ของเอมิเน็ม) 

    เทคโนโลยีเพลงดิจิตอลยังไม่หยุดแค่ตรงนั้น ผู้คนเริ่มเปลี่ยนวิธีฟังเพลงด้วยการดาวน์โหลดไฟล์มาเป็นฟังเพลงเรียลไทม์แบบสตรีมมิ่งโดยมีตัวแปรสำคัญอย่าง Spotify และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อบิลบอร์ดเปลี่ยนกฏอีกครั้งด้วยการยินยอมให้มีการนับยอดเล่นเพลงสตรีมมิ่งเข้าไปในการจัดอันดับเพลงฮิต Billboard Hot 100 นับตั้งแต่ชาร์ตในเดือนมกราคม 2013 เป็นต้นไป เท่านั้นยังไม่พอ ถัดมาในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกันก็มีการอนุญาตให้นับยอดวิววิดีโอบนยูทูบรวมเข้าไปด้วย

    ทันทีที่มีการนับยอดวิววิดีโอบนยูทูบ เพลง “Harlem Shake” ของ Baauer ที่มิวสิกวิดีโอมีความแปลกใหม่จนกลายเป็นอินเทอร์เน็ตมีมระบาดไปทั่วโลก และบิลบอร์ดก็นับยอดวิวของมีมทั้งหมดบนยูทูบรวมเข้าไปด้วย นั่นจึงส่งผลให้เพลง “Harlem Shake” ติดอันดับ 1 นานถึง 5 สัปดาห์ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักว่าศิลปินเจ้าของเพลงคือใครด้วยซ้ำ หรืออย่างเพลง “Gangnam Style” ของศิลปินเกาหลีอย่าง Psy ก็ขึ้นถึงอันดับ 2 ด้วยยอดวิวกว่าพันล้านวิวในตอนนั้น 

    สรุปให้เห็นภาพรวมก็คือนับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ชาร์ต Billboard Hot 100 ใช้วิธีจัดอันดับเพลงฮิตด้วยการวัดจากยอดขายเพลง 35-45 เปอร์เซ็นต์ + ยอดเปิดเพลง 30-40 เปอร์เซ็นต์ + ยอดสตรีมมิ่ง 20-30 เปอร์เซ็นต์

 

    ตัดภาพกลับไปในปี 1995 เพลง “One Sweet Day” ของมาไรอาห์ แครีย์ และบอยซ์ทูเมน ครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 1995 ถึง 16 มีนาคม 1996 รวมทั้งสิ้น 16 สัปดาห์ ซึ่งมาจากแค่ยอดแอร์เพลย์ทางวิทยุ บวกกับยอดขายเพลงในอเมริการวมทั้งสิ้น 2,335,000 ก๊อปปี้ ซึ่งเป็นยอดขายซิงเกิลในรูปแบบซีดี คาสเซ็ตต์ และแผ่นเสียงล้วนๆ ไม่มียอดจากสตรีมมิ่ง ไม่มียอดวิวจากยูทูบ 

    นี่คือสิ่งหนึ่งที่หลายคน (โดยเฉพาะคนที่โตมากับดนตรียุค 90’s) รู้สึกขัดใจกับ “การเปลี่ยนกฏของบิลบอร์ด” เพราะแค่คุณทำมิวสิกวิดีโอแปลกๆ ให้เกิดเป็นไวรัลในยุคนี้ ก็สามารถมีเพลงขึ้นอันดับ 1 ได้แล้ว เทียบไม่ได้กับการที่แฟนเพลงแห่ซื้อแผ่นซีดีซิงเกิลเพลง “One Sweet Day” รวมกว่า 2 ล้านแผ่น ด้วยเหตุเพราะ “ตัวเพลง” เพียงอย่างเดียว

    เมื่อบิลบอร์ดตั้งกฏแบบนี้ บรรดาค่ายเพลงจึงพยายามหากลเม็ดจากช่องทางดิจิตอลมาทำให้เพลงของศิลปินขึ้นอันดับ 1 อย่างเช่นการมีวิดีโอที่เป็น Official Audio, จัดทำวิดีโอเนื้อเพลงที่เรียกว่า Lyric Video รวมไปถึงกลยุทธ์เด็ดอย่าง การนำเพลงไป “รีมิกซ์” ออกมาหลายๆ เวอร์ชั่น ซึ่งอย่างหลังนี่แหละที่เป็นอีกส่วนสำคัญที่เข้ามา “พลิกเกม” ทำให้เพลงยุคหลังๆ ขึ้นอันดับ 1 อย่างง่ายดาย

    ย้อนกลับไปดูกฏของบิลบอร์ดที่ออกไว้ตั้งแต่ปี 2001 (ในยุคที่อาร์แอนด์บีและรีมิกซ์มาแรงมาก) คือหากมีการนำเพลงไปรีมิกซ์ใหม่ รีมิกซ์นั้นจะต้องไม่แตกต่างจากต้นฉบับมากนัก หากมีการแต่งทำนองและเนื้อร้องใหม่จนไม่เหมือนเค้าโครงต้นฉบับ ให้พิจารณาว่าเป็นอีกหนึ่งเพลง (กรณีนี้เกิดขึ้นหลังจากเพลง “I’m Real” และ “Ain’t It Funny” ของเจ.โล. ขึ้นอันดับหนึ่ง โดยมีผลมาจากความดังของเวอร์ชั่นรีมิกซ์ซึ่งออกมาแตกต่างจากต้นฉบับ) 

    ‘การรีมิกซ์’ นี่แหละที่ทำให้กลายเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะเมื่อกลางปี 2017 เพลงละติน “Despacito” ของหลุยส์ ฟอนซี ฟีเจอริ่ง แด๊ดดี้ แยงกี้ ก็ดังระเบิดจนครองแชมป์ Billboard Hot 100 นานถึง 16 สัปดาห์ เทียบเท่า “One Sweet Day” ซึ่งเวอร์ชั่นที่ทำให้เพลงนี้ดังระเบิดระเบ้อคือเวอร์ชั่นที่มีจัสติน บีเบอร์ มาฟีเจอริ่งด้วยซึ่งถูกปล่อยออกมาภายหลัง จากที่ขึ้นสูงสุดแค่ 44 พอปล่อยเวอร์ชั่นบีเบอร์ปุ๊ป ก็พุ่งสู่อันดับ 9 และไต่ไปถึงอันดับ 1

    แต่กรณีล่าสุดที่หนักกว่าคือเพลง “Old Town Road” ของลิล แนส เอ็กซ์ ที่เล่นปล่อยรีมิกซ์มากถึง 4 เวอร์ชั่นคือ Diplo Remix, Young Thug and Mason Ramsey Remix, RM Remix (จากวงบีทีเอส) และ Bily Ray Cyrus Remix รวมกับต้นฉบับอีกหนึ่งเวอร์ชั่น

    แม้บนชาร์ต Billboard Hot 100 จะขึ้นเครดิตว่าเวอร์ชั่น featuring Billy Ray Cyrus ติดอันดับ 1 แต่จริงๆ แล้ว บิลบอร์ดนับยอดขาย ยอดสตรีม และยอดแอร์เพลย์จากทุกเวอร์ชั่นของเพลงนี้รวมกัน ไม่ได้นับแค่เวอร์ชั่นบิลลี่ เรย์ ไซรัส 

    ถามว่าเพลง “Old Town Road” เล่นตามกฏไหม - ก็ถูกต้อง เพราะเวอร์ชั่นรีมิกซ์ไม่ได้แตกต่างจากต้นฉบับมากนัก สามารถนับรวมเป็นเพลงเดียวกันได้ แต่ก็ยังเป็นที่กังขา ในเมื่อเล่นทำออกมาห้าเวอร์ชั่น มันก็ต้องมียอดสูงกว่าเวอร์ชั่นเดียวอยู่แล้วเป็นธรรมดา

    ช่องโหว่ตรงนี้กลายเป็นจุดที่ศิลปินหรือค่ายเพลงนำมาใช้ในการผลักดันเพลงให้ขึ้นอันดับ 1 อย่างกรณีล่าสุด เพลง “Bad Guy” ของบิลลี ไอริช ที่อยู่อันดับ 2 ก็เดินตามสูตรนี้ด้วยการปล่อยเวอร์ชั่นรีมิกซ์ที่ฟีเจอริ่ง จัสติน บีเบอร์ ออกมาเมื่อไม่นานนี้

    แน่นอนว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป รูปแบบการฟังเพลงเปลี่ยนไป อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ยอดสตรีมมิ่งมหาศาลหรือการรีมิกซ์เพลงเป็นสิ่งที่หมุนเปลี่ยนไปตามเทรนด์ แต่เราคงไม่ได้เห็นยอดขาย “ซีดีซิงเกิลจำนวนสองล้านแผ่น” แบบที่บทเพลงในยุค 90’s ทำไว้อีกแล้ว