พีร์ รักพงษ์ รัยมธุรพงษ์บอกว่าตัวเองเป็นดีไซเนอร์ที่ตื่นเช้ามากเพื่อจะตัดสินใจอีกทีว่าจะนอนต่อหรือเปล่า วิธีการทำงานของเขาก็คล้ายๆ กัน คือทำสิ่งที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเริ่มทำสิ่งที่รักวันนี้หรือเก็บไว้รอวันที่เขาอาจจะพร้อมกว่า หรือในเวลาที่เหมาะสมกว่า วันนี้ดีไซเนอร์เจ้าของรางวัล Prix le19M des Métiers d’art de Chanel (ส่วนหนึ่งของเวทีศักดิ์สิทธิ์ Hyères International Festival ในฝรั่งเศส ที่มีแบรนด์ชาเนลหนุนหลัง) เมื่อปีที่แล้ว ตั้งใจตื่นแต่เช้ามาเล่าให้โว้กฟัง (จากปารีส) ว่ากว่าจะได้ใช้ชีวิตที่คนอื่นมองว่าเฉิดฉายในฐานะนักออกแบบมือรางวัล ณ แดนน้ำหอมนั้น ระหว่างทางต้องเจอเรื่องราวที่เข้มข้นขนาดไหน


1 / 3

2 / 3

3 / 3
เมื่อถามถึงสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับดีไซเนอร์และสิ่งที่เขาคิดว่าทำให้ผลงานชิ้นล่าสุดประสบความสำเร็จ พีร์ต้องค่อยๆ เรียบเรียงความคิดเพื่ออธิบายอยู่พักใหญ่ว่า “ที่ยากที่สุดคือการสื่อสารสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ อย่างคอลเล็กชั่นที่ผ่านมาผมใช้โทนสีของกรุงเทพฯ สีรถแท็กซี่สีชมพู สีกันสาดสีเขียวที่เห็นบ่อยๆ หรือถังน้ำแข็งสีน้ำเงิน โทนสีที่ถ้าคนไทยมองจะรู้ว่านี่คือสีของเมืองไทย แต่ผมตั้งใจให้แม้แต่คนที่ไม่เคยมาประเทศไทยเลยสักครั้งเดียวสามารถเข้าใจสิ่งที่เรานำเสนอ และเอนจอยไปกับสีสันของมันได้ อีกอย่างที่อาจจะเป็นความแตกต่างหรือเอกลักษณ์ก็ได้ คือผมได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็น คงเพราะเป็นคนมองโลกด้วยสายตาที่ไม่ Belong ตลอดเวลา คือผมเหมือนเป็นเอเลี่ยนของทุกที่น่ะครับ ตอนเด็กเป็นต่างด้าวซึ่งโตที่ออสเตรเลีย ย้ายกลับไปอยู่ขอนแก่นก็กลายเป็นเด็กนอก พอมาเรียนจุฬาฯ กลายเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนในกรุงเทพฯ มาอยู่ปารีสก็เป็นคนกรุงเทพฯ ซึ่งมาอยู่ปารีสอีก (หัวเราะ) สายตาที่อาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ น่าจะส่งผลให้งานของผมมีเอกลักษณ์อยู่พอสมควร"

1 / 3

2 / 3

3 / 3
“ตอนนี้เป็นช่วงเบรก เพราะก่อนหน้านี้เราทำงานสองอย่างพร้อมกัน มันหนักมากนะครับ ในวันที่เราได้รางวัล คนอาจจะคิดว่าไม่น่ายาก แต่ที่จริงแล้วมีหลายอย่างที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ทำสิ่งนี้ โดยเฉพาะด้านการเงินที่เราต้องจุนเจือตัวเองทุกอย่าง ถ่ายลุคบุ๊กทีหนึ่งใช้เงินเท่าไร ค่าส่งพัสดุที่จะส่งงานจากกรุงเทพฯมาปารีสเป็นเงินอีกเท่าไร แล้วเราทำทั้งงานที่ส่งประกวดและงานประจำ เช้าต้องตื่นมาคุยงานกับทีมที่กรุงเทพฯ เช็กว่าโปรดักชั่นที่ไทยเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้น 10 โมงไปทำงาน คือถ้าเราอยากทำอะไรเพิ่ม เราก็ต้องทุ่มเททั้งด้านการเงิน ร่างกาย และการบริหารจัดการเวลา ซึ่งผมทำต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ดังนั้น เส้นทางนี้ไม่ง่ายหรอกครับ...แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เหมือนกัน”
ชัยชนะจากเวทีที่สู้มานานไม่ใช่ตอนจบแสนหวาน แต่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่ทำให้พีร์ต้องคิดหนักว่าเขาจะทำงานร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ที่ติดต่อเข้ามาต่อไป หรือว่าถึงเวลาแล้วที่จะสร้างบางสิ่งที่เป็นของเขาเองเสียทีที่มหานครแห่งแฟชั่น
บทเรียนจากดีไซเนอร์ออสเตรเลียที่เปลี่ยนซิลูเอตซับซ้อนสู่ความเรียบง่ายเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค
เปิดเส้นทางแห่งความสำเร็จ! DITP ปั้นนักออกแบบเลือดไทยรุ่นใหม่สู่ตลาดโลกปี 2021