Vogue Thailand

ถึงจุดแตกหัก! สองผู้ก่อตั้ง 'Instagram' ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

ค่ำคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา มีข่าวสะเทือนวงการเทคโนโลยีอีกครั้ง เมื่อสองผู้ก่อตั้งของ Instagram ประกาศลาออก? จากข่าวลือหนาหูที่บอกว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เข้ามาเป็นส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย การลาออกไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบทางภาพลักษณ์โดยรวมของ Instagram ให้ดูแย่ลง แต่ยังทำลายกำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่าง Facebook กับ Instagram ที่เราทุกคนหลงใหลชื่นชอบอีกด้วย เพราะมันจะไม่ใช่ Instagram ที่เป็นบริษัทลูกของ Facebook อีกต่อไป ไอเดียและการบริหารงานต่างๆ ก็จะมาจาก Facebook ทั้งหมด โดย อดัม มอสเซรี หนึ่งในลูกหม้อที่เติบโตมากับ Facebook จะเข้ามากุมบังเหียนของ Instagram ต่อจากนี้

โดย โสภณ ศุภมั่งมี
28 กันยายน 2561

     ค่ำคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา มีข่าวสะเทือนวงการเทคโนโลยีอีกครั้ง เมื่อสองผู้ก่อตั้งของ Instagram ประกาศลาออก? จากข่าวลือหนาหูที่บอกว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เข้ามามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย การลาออกไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบทางภาพลักษณ์โดยรวมของ Instagram ให้ดูแย่ลง แต่ยังทำลายกำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่าง Facebook กับ Instagram ที่เราทุกคนหลงใหลชื่นชอบอีกด้วย เพราะมันจะไม่ใช่ Instagram ที่เป็นบริษัทลูกของ Facebook อีกต่อไป ไอเดียและการบริหารงานต่างๆ ก็จะมาจาก Facebook ทั้งหมด โดย อดัม มอสเซรี หนึ่งในลูกหม้อที่เติบโตมากับ Facebook จะเข้ามากุมบังเหียนของ Instagram ต่อจากนี้

     ตอนที่ Facebook ทุบกระปุกหมูออมสินแล้วนับเศษเหรียญจำนวน 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 33,000 ล้านบาท) เพื่อซื้อ Instagram ในปี 2012 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก  ได้พูดกับเควิน ซีสตรอม และเควิน ครีเกอร์ ผู้ก่อตั้ง Instagram ว่าแอปพลิเคชั่นของพวกเขาจะสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างอิสระ แต่ก็อย่างที่เขาว่ากัน ลิ้นไม่มีกระดูก ในจังหวะนั้นมันอาจจะเป็นความต้องการของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กจริงๆ แต่เมื่อสถานการณ์ของ Facebook เปลี่ยนไป ตอนนี้ที่หลายคนเบือนหน้าหนีออกจากโซเชียลมีเดียแห่งนี้ คำพูดกึ่งสัญญาในตอนนั้นกลายเป็นเพียงคำพูดโกหกปลอบประโลมใจที่ไม่สามารถนำมาอ้างอิงเพื่อผลประโยชน์ได้เลย

     หลังจากที่ The New York Times ตีแผ่ข่าวการลาออกของ เควิน ซีสตรอม และเควิน ครีเกอร์ ประเด็นเลยมุ่งไปที่ความสัมพันธ์อันร้าวฉานของพวกเขากับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มีรายงานเกี่ยวกับการขัดแย้งในแนวคิดและไอเดียของการพัฒนาแอปพลิเคชั่นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการแชร์โพสต์ระหว่าง Facebook กับ Instagram เทคนิคในการขยายฐานผู้ใช้งานของ Instagram และการเข้ามามีส่วนร่วมของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในบริษัทที่มากขึ้นเรื่อยๆ รายงานอีกแห่งบอกว่า Facebook พยายามจะขยายฐานผู้ใช้งานของตัวเองโดยใช้ Instagram เป็นสะพานเชื่อมโดยสนใจเพียงการเติบโตของธุรกิจหลักเพียงเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นข่าวจริงก็ไม่แปลกใจที่ผู้ก่อตั้งแอปพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียแชร์รูปภาพที่โด่งดังจะรู้สึกว่าโดนแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจพอสมควร

    Instagram เป็นบริษัทลูกของ Facebook ที่มีจำนวนผู้ใช้งานสูงเป็นอันดับ 4 โดยเมื่อปีก่อนผู้บริหารของบริษัท WhatsApp ที่โตเป็นอันดับสองในกลุ่มบริษัทลูกก็ลาออกเช่นเดียวกัน โดยหนีไม่พ้นเรื่องของความขัดแย้งกับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งก็อาจจะไม่เหมือนกันทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ก็เป็นวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ไม่ตรงกันอีกนั่นแหละ เพราะอย่างแรกเลย WhatsApp ให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลส่วนตัวของยูสเซอร์ของพวกเขาตั้งแต่แรก ในตอนที่ผู้ก่อตั้งบริษัทลาออกเมื่อช่วงกลางปีก่อนก็มีรายงานว่า Facebook นั้นไม่ใส่ใจในเรื่องนี้มากพอและจ้องแต่จะขายโฆษณาจากการใช้ข้อมูลเหล่านี้เพียงอย่างเดียว (แต่ก็อาจจะต้องเข้าใจว่า Facebook ควักเงินซื้อ WhatsApp ไปกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว)

     สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นย้อนแย้งกับภาพที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก พยายามแสดงให้เห็นในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ผ่านมา ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเขาประกาศกับผู้ถือหุ้นว่าตอนนี้พวกเขาได้ทุ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนาด้านความปลอดภัยให้สูงมากขึ้น และอาจจะมีผลกระทบกับผลกำไรของบริษัทในช่วงนี้ ต่อมาในเดือนมีนาคมเขาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องการเติบโตของบริษัทเลย และปรับกลไกการทำงานของ Facebook เพื่อให้เวลาของผู้ที่มาใช้งานบนแอปพลิเคชั่นเป็น “Time Well Spent” และปรับความสำคัญของเพจให้ลดลงและให้เห็นโพสต์ของเพื่อนมากยิ่งขึ้น

     และผลกระทบของมันก็กำลังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานนั้นเริ่มช้าลงสำหรับโซเชียลมีเดียอายุ 14 ปีแห่งนี้ (แม้อย่างนั้นก็ตามจำนวนสมาชิกของพวกเขาก็มีมากกว่า 2.23 พันล้านคนเข้าไปแล้ว) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่มูลค่าหุ้นของบริษัทนั้นได้รับผลกระทบจากการประกาศตัวเลขการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานที่ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของตลาด และหุ้นก็ยังร่วงต่อมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ โดยสูญเสียมูลค่าไปกว่า 1.2 แสนล้านเหรียญเลยทีเดียว

     หลังจากการประกาศตัวเลขตอนนั้น ผู้บริหารของ Facebook ได้พูดถึงเรื่องการเติบโตของ Instagram ที่ตอนนี้กำลังสร้างผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่าทั้งทางด้านจำนวนผู้ใช้งานและรายได้ ตอนนี้มีคนใช้ที่แอ็กทีฟมากกว่า 1 พันล้านคน กว่า 40% ใช้งานฟีเจอร์การแชร์สตอรี่และมีบริษัทโฆษณาที่ใช้งานกว่า 2 ล้านแห่ง พอเห็นตัวเลขแบบนี้ก็ไม่แปลกใจว่าทำไม Facebook ถึงเริ่มเห็นความสำคัญของแอปพลิเคชั่นแชร์รูปภาพ และพยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเค้กชิ้นนี้

     อย่างแรกเลยคือการพยายามให้ผู้ใช้งาน Instagram โดยลิงค์บัญชีของพวกเขากับ Facebook ในตอนนั้นมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก พยายามบอกว่าความสำเร็จของ Instagram ส่วนหนึ่งมาจาก Facebook ที่ทำให้จำนวนผู้ใช้งานเติบโตขึ้นเกือบสองเท่าตัวอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าที่ Instagram จะเติบโตด้วยตนเอง แต่นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการเข้าข้างตัวเองเสียมากกว่าความจริงที่เกิดขึ้น

     เหตุการณ์ลาออกของผู้ก่อตั้ง Instagram ครั้งนี้เป็นการแสดงจุดยืนของพวกเขาอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับกลยุทธ์ของ Facebook ที่มองความสำเร็จจากแค่ตัวเลขของผู้ใช้งานเพียงอย่างเดียว และแน่นอนว่าไม่เห็นด้วยกับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เหมือนตอนที่ผู้ก่อตั้ง WhatsApp ลาออกนั่นแหละ เขายอมทิ้งเงินกว่า 1.3 พันล้านเหรียญของมูลค่าหุ้นเพื่อออกจากตรงนั้นมาก่อนสัญญาที่วางเอาไว้ ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมที่ข่าวของ Cambridge Analytica กำลังดุเดือดเข้มข้น เราได้เห็นแฮชแท็ก #deletefacebook ที่มีคนพูดถึงอย่างมาก ขนาดเอลอน มัสก์ เจ้าพ่อ Tesla ยังทวีต #deletefacebook ไม่ใช่ #deleteInstagram

     “Instagram น่าจะโอเคในความคิดของผม ตราบใดที่พวกเขายังทำงานอย่างเป็นอิสระอยู่”

     ในปี 2015 Facebook ได้พูดถึงข้อกำหนดของบริษัทที่เปลี่ยนไปโดยใช้คำว่า “Family of Companies” จากการที่เริ่มมีบริษัทลูกเข้ามาร่วมครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่น่าสนใจคือข้อความที่เขียนในเรื่องของกฎของความเป็นส่วนตัวว่า

     “เราอาจจะแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณใน ‘Our Family of Companies’ เพื่อช่วยให้การทำงานนั้นง่ายขึ้น สนับสนุนกัน และช่วยเกื้อหนุนและพัฒนาบริการของพวกเรา”
แต่ข้อมูลอะไรล่ะที่พวกเขาแชร์กัน? ไม่มีใครรู้นอกจากมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยต่อจากนี้เราจะได้เห็นกันแล้วว่า Instagram ในรูปแบบของ Facebook จริงๆ จะเป็นอย่างไร พวกเขาจะใช้แอปพลิเคชั่นแชร์รูปที่ไม่เคยมีพิษมีภัยมาช่วยขยายลูกค้าของตัวเองแบบไหน ที่จริงต้องถามว่าพวกเขาจะทำได้แนบเนียนขนาดไหนมากกว่า