Vogue Thailand

PACIFIC RIM: UPRISING งานสนองตัณหาสำหรับบรรดาแฟนบอย

ละม้ายและใกล้เคียงกับหนัง Tomb Raider ฉบับน้องอลิเซีย วิแคนเดอร์เป็น นั่นคือตอบสนองความต้องการของแฟนพันธุ์แท้เป็นหลัก ขณะที่หนังจากวิดีโอ เกมเรื่องนั้น มาพร้อมฉากแอ็คชันที่ราวกับหยิบฉากต่างๆ ในเกมมาใช้ หนังหุ่นยนต์ซดกับสัตว์ประหลาดภาคต่อเรื่องนี้ ก็คือการหยิบซีรีส์อะนิเมะทางโทรทัศน์ มาขึ้นจอในแบบเอาลายเส้นออกไป ใช้คนแสดงและคอมพิวเตอร์สร้างภาพต่างๆ ขึ้นมาแทน โดยไม่ห่วงความสมเหตุสมผล ความลึกของเรื่อง ปูมหลังต่างๆ นานาของตัวละคร

โดย นพปฎล พลศิลป์
23 มีนาคม 2561

     ละม้ายและใกล้เคียงกับหนัง Tomb Raider ฉบับน้องอลิเซีย วิแคนเดอร์เป็น นั่นคือตอบสนองความต้องการของแฟนพันธุ์แท้เป็นหลัก ขณะที่หนังจากวิดีโอ เกมเรื่องนั้น มาพร้อมฉากแอ็คชันที่ราวกับหยิบฉากต่างๆ ในเกมมาใช้ หนังหุ่นยนต์ซดกับสัตว์ประหลาดภาคต่อเรื่องนี้ ก็คือการหยิบซีรีส์อะนิเมะทางโทรทัศน์ มาขึ้นจอในแบบเอาลายเส้นออกไป ใช้คนแสดงและคอมพิวเตอร์สร้างภาพต่างๆ ขึ้นมาแทน โดยไม่ห่วงความสมเหตุสมผล ความลึกของเรื่อง ปูมหลังต่างๆ นานาของตัวละคร

     เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นหลังภาคแรก 10 ปี แม้สงครามระหว่างมนุษยชาติกับไคจูดูจะจบสิ้นไปแล้ว แต่หน่วยป้องกันมหาสมุทรแปซิฟิค (PPDC - Pan-Pacific Defence Corps) ที่เป็นการรวมตัวกันของหลายๆ ชาติ ยังคงทำหน้าที่พัฒนาหุ่นเยเกอร์ รวมไปถึงจัดหาพลขับรุ่นใหม่ๆ กันต่อ เจค เพนเทคอสท์-ลูกชายของสแต็คเกอร์ เพนเทคอสท์ ฮีโรของคนทั้งโลกผู้สละชีวิตเพื่อปิดทางเชื่อมมิติใต้มหาสมุทรก็เป็นหนึ่งในพลขับชั้นยอด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขาเลือกใช้ชีวิตอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆ แต่เมื่อทำผิดกฎหมายเพราะไปช่วยนามานี เด็กสาวที่สร้างเยเกอร์เถื่อน เจคจึงต้องกลับมาที่หน่วยอีกครั้งในฐานะครูฝึก โดยนามานีคือหนึ่งในคนที่ถูกเลือกมาเป็นนักเรียนของเขา

     แต่สถานภาพของพลขับเยเกอร์ก็ไม่มั่นคงนัก เมื่อเฉา คอร์เปอเรชัน ที่พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับหน่วย มีแผนเอาเยเกอร์บังคับระยะไกลมาใช้แทน ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันของดร. เฉา และดร. นิวท์ ไกสซ์เลอร์ คู่หูของดร. แฮร์มานน์ ก็อทท์ลีบ จากหนังภาคแรก ที่ฝ่ายหลังทำงานให้กับหน่วย แต่แล้วก็เกิดความผิดปกติกับเยเกอร์รุ่นใหม่ ทำให้เจคกับบรรดานักเรียนต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางปกป้องโลกจากความผิดพลาดในครั้งนี้

     หนังเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า รูรั่วของบท ความสมเหตุสมผลของตัวละคร พัฒนาการของพวกเขาและตัวเรื่องก็เป็นไปแบบก้าวกระโดด ไม่ได้สอดรับกันสักเท่าไหร่ ตัวละครหลายๆ รายขาดที่มาที่ไป กระทั่งตัวละครหลัก อย่าง เจค ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ปมประเด็นถูกจัดการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย เรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อน แถมหลายๆ คนก็น่าจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยเกอร์บังคับจากระยะไกลเหล่านั้น หลังได้เห็นพฤติกรรมของตัวละครบางราย อารมณ์ขันที่พยายามใส่เข้ามาก็ขาดสารหล่อลื่นอย่างหนัก ที่หากเทียบกันกับหนังภาคแรกแล้ว Pacific Rim: Uprising ทำให้ Pacific Rim เป็นงานซับซ้อน มากไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ที่มาพร้อมการแสดงระดับเทพไปเลยก็ว่าได้

     งานโปรดัคชันถ้าไม่นับเรื่องเทคนิคพิเศษ การออกแบบต่างๆ รวมถึงงานดนตรีประกอบเป็นงานเกรดรองกว่าภาคแรก รวมไปถึงใช้ทุนสร้างน้อยกว่า หากก็มาพร้อมการตลาดในตัว ที่นอกจากจะเป็นหนังบริษัทจีนสร้าง (บริษัทเลเจนดารี พิคเจอร์ ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ถูกแวนดา กรุป บริษัทจีนเทคโอเวอร์ไปเมื่อราวๆ 2 ปีก่อน) หนังภาคแรกยังประสบความสำเร็จในจีน ชนิดที่ทำให้ลืมตาอ้าปาก มองถึงหนังภาคสองได้ Pacific Rim: Uprising เลยขึ้นจอด้วยการพุ่งเป้าที่ตลาดแถบนี้ ทั้งให้นักแสดงจีนมีบทบาทสำคัญกับเรื่อง ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นในเอเชีย พร้อมใส่นักแสดงเอเชียเข้ามามากหน้าหลายตา ซึ่งตอกย้ำการเป็น "สินค้า" ของหนังชัดเจนมากยิ่งขึ้น

     มองกันแบบให้หนังเป็นหนัง ที่ว่ากันด้วยความเนี้ยบของบท การเล่าเรื่อง การแสดง คุณภาพของงานโปรดัคชัน Pacific Rim: Uprising งานกำกับสำหรับจอใหญ่เรื่องแรกของสตีเวน เอส เดอไนท์ ที่กุมบังเหียนซีรีส์ Daredevil อยู่ ไม่อาจจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ คะแนนก็น่าจะแค่พอผ่าน หรือขาดอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงจุดนั้น

     แต่ถ้ามองหนังทั้งเรื่องเป็นภาพลายเส้น มองเป็นอะนิเมะซีรีส์ทางโทรทัศน์ในยุคก่อน อย่าง หุ่นแซด, เกรทมาชินกา, เกรนไดเซอร์, เก็ตเตอร์ ทั้งหลาย งานของเดอไนท์ตอบโจทย์แฟนๆ การ์ตูนเหล่านั้น (อย่างน้อยก็เรา) ไม่ว่าจะเป็นการใส่ฉากแอ็คชันที่เห็นกันชัดๆ ซัดกันกลางวันแสกๆ ที่ทั้งยืดยาว ตะลุมบอนกันอย่างเมามันส์ แถมตัวร้ายก็มาด้วยอภินิหารที่แบบมันใช่เลยกับความทรงจำจากจากตู้ ตัวเรื่องไม่ได้พิรี้พิไร พยายามพาเหตุการณ์ไปถึงจุดนั้นให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอกันนาน ความสามารถของตัวละครไม่ต่างไปจากในอะนิเมะ ที่มักจะมีเด็กอัจฉริยะกับด็อคเตอร์สติเฟื่อง ผู้สามารถทำในสิ่งที่องค์กรใหญ่ๆ ทำไม่สำเร็จให้บรรลุผลขึ้นมาได้ โดยที่ไม่ต้องทดลองหรือทดสอบกันให้วุ่นวาย ไหนจะเรื่องความขัดแย้งในทีมที่คลี่คลายกันอย่างง่ายดาย

     สารพัดสิ่งเหล่านี้ ทำให้หนังที่ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นหนังที่ “ดี" กลายเป็นหนังที่ดูสนุก เป็นงานในแบบ Guilty Pleasure ที่ส่งผลต่อความรู้สึก มากกว่าเหตุผล โดยเฉพาะการทำให้ภาพความทรงจำในอดีต ประสบการณ์ในวัยเยาว์ สมัยที่ต้องไปเคาะประตูบ้านข้างๆ ตอนหกโมงเย็นครึ่งขอให้เขาเปิดทีวีจะได้ดู "อภินิหารเก็ตเตอร์" หรือนั่งหน้าจอกับเพื่อนๆ ตอนเที่ยงวันเสาร์ เฝ้าดู "หุ่นกายสิทธิ์" อย่างสนุกสนาน

     และเชื่อด้วยว่า สตีเวน เอส เดอไนท์ ก็น่าจะเคยนั่งชมอะนิเมะเหล่านี้ไม่ต่างกัน