Vogue Thailand

แซม สมิธ กับการปลดปล่อยตัวตนในงานเพลงชุดที่สอง

แซม สมิธ คืออะเดลภาค (เกือบ) ผู้ชาย เขามีทุกอย่างที่อะเดลมี เป็นศิลปินอังกฤษ แต่งเพลงเองได้ มีอัลบั้มขายดี มีเพลงฮิต เป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่ บริต ไปจนถึงออสการ์ (จากหนังเจมส์ บอนด์ เหมือนกันอีกต่างหาก)

โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์
28 กุมภาพันธ์ 2561

แซม สมิธ คืออะเดลภาค (เกือบ) ผู้ชาย เขามีทุกอย่างที่อะเดลมี เป็นศิลปินอังกฤษ แต่งเพลงเองได้ มีอัลบั้มขายดี มีเพลงฮิต เป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่ บริต ไปจนถึงออสการ์ (จากหนังเจมส์ บอนด์ เหมือนกันอีกต่างหาก) 

     สามปีหลังจากความสำเร็จอย่างท่วมท้นของอัลบั้มเปิดตัว In the Lonely Hour ในปี 2014 ที่ทำให้ชื่อแซม สมิธ ดังเป็นพลุแตก มียอดขายอัลบั้มถึง 12 ล้านก๊อปปี้ และกวาดแกรมมี่ไปถึง 4 ตัว ยังไม่นับเพลงฮิตอย่าง “Stay with Me” ที่กลายเป็นเพลงประจำตัวของเขา หนุ่มชาวลอนดอนวัย 25 กลับมาในอัลบั้มที่สอง The Thrill of It All ที่เขาเริ่มเข้าสตูดิโอทำงานชุดนี้ตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งยังคงได้จิมมี เนปส์ และสตีฟ ฟิตซ์มอริซ สองโปรดิวเซอร์หลักจากงานชุดก่อนมานั่งเก้าอี้เดิม และนั่นเป็นนิมิตรหมายอันดีว่าเราจะได้ฟังงานป๊อป-โซล-อาร์แอนด์บี ที่ดีเฉกเช่นชุดก่อน

     แซม สมิธ ถูกสถาปนาให้เป็นหนึ่งในศิลปินกลุ่ม ‘White Soul’ แต่หากสัญชาติอังกฤษก็จะมีอีกชื่อว่า ‘British Soul’ หรือ ‘Brit Soul’ อันหมายถึงศิลปินผิวขาวที่ร้องเพลงโซลในแบบคนผิวสีได้ ตามติดรุ่นพี่อย่างอะเดล และเอมี ไวน์เฮาส์ ผู้ล่วงลับ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสองศิลปินที่ปลุกกระแสดนตรีแนวนี้ให้กลับมาในยุค 2000’s รวมทั้งสร้างปรากฏการณ์ ‘British Invasion’ กับการเป็นผู้นำทัพอังกฤษไปบุกเมืองลุงแซม และนายสมิธก็น่าจะได้รับอานิสงค์ไปด้วย 

     แม้จะถูกยกไปเทียบรุ่นกับอะเดลและไวน์เฮาส์ แต่สมิธได้แรงบันดาลในในการร้องเพลงจากดีว่าตัวแม่อย่างวิทนีย์​ ฮูสตัน, มาไรอาห์ แครีย์, บียองเซ จนถึงชากา คาน และนั่นไม่เป็นที่สงสัย เมื่อเขาเปิดตัวว่าเป็นเกย์ในช่วงที่ปล่อยอัลบั้มแรก “ผมอยากขอบคุณผู้ชายที่ถูกพูดถึงในเพลงนี้ คนที่ผมเคยรักตลอดปีที่ผ่านมา ขอบคุณมากที่หักอกผม เพราะคุณทำให้ผมได้แกรมมี่ถึงสี่ตัว” สมิธกล่าวขณะขึ้นรับรางวัล Record of the Year จากเพลง “Stay with Me” ในปี 2015 แต่ก็เหมือนดาบสองคม เพราะหลังจากเปิดใจให้สัมภาษณ์เรื่องเพศสภาพและ ‘ปลดปล่อยตัวเอง’ มากขึ้นเรื่อยๆ (อย่างเช่นการยอมรับว่าเขาเคยแต่งหญิงไปเรียน) สมิธก็เริ่มกลายเป็นที่หมั่นไส้สำหรับใครหลายคนที่ไม่เปิดใจยอมรับ หลายคนนำสมิธไปเปรียบเทียบกับจอร์จ ไมเคิล ที่เป็นเกย์และศิลปินอังกฤษเหมือนกัน แนวเพลงก็ยังมีความ White Soul เหมือนกัน หากแต่ไมเคิลนั้นดูแข็งแกร่งและไม่แคร์โลกกว่าสมิธหลายเท่าตัว

     แต่ก็อีกนั่นแหละ นักวิจารณ์เพลงหลายคนก็บอกว่าความเซนซิทีฟขั้นสุดของสมิธ (เช่นการร้องไห้เมื่อพูดถึงหนัง Inside Out ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยของการร้องไห้ของเขา) ที่ส่งผลให้งานเพลงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ โดยเฉพาะเสียงร้องที่แสดงความรู้สึก (เขาบอกว่าเขาร้องไห้ในห้องอัดระหว่างบันทึกเสียงเพลง “Stay with Me”)

 

     หลังชนะออสการ์เพลงประกอบยอดเยี่ยม “Writing’s on the Wall” จากหนังเจมส์ บอนด์ Spectre ที่เขาร่วมแต่งกับจิมมี เนปส์ สมิธดูเหมือนจะค้นพบแนวเพลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าอัลบั้มแรก นั่นคือน้ำเสียงที่หนักแน่น ดนตรีที่เยือกเย็น อินโทรที่เริ่มต้นจากเปียโน และเสียงคอรัสแบบกอสเปล ทั้งหมดที่กล่าวมาคือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในอัลบั้มที่สองของเขา โดยเฉพาะในซิงเกิลแรก “Too Good at Goodbyes” ที่แค่ฟังท่อนแรก หน้าของสมิธก็ลอยมาแต่ไกล

     “แทนที่ผมจะอยากทำอัลบั้มที่ป๊อปมากขึ้น ผมกลับอยากทำงานเพลงที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นเหมือนการเขียนไดอารี่” บทเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้จึงมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก เพศที่สาม และศาสนา อย่างแทร็ก “Pray” ที่ได้ทิมบาแลนด์มาร่วมงานด้วยเป็นการกลั่นกรองความรู้สึกระหว่างที่เขาเดินทางไปอิรัก เพื่อเข้าร่วมองค์กรการกุศล War Child ที่ช่วยเหลือเด็กที่ได้ผลกระทบจากสงคราม หรือแทร็กอย่าง “HIM” ที่เป็นการเล่าเรื่องการสารภาพว่าตัวเองเป็นเกย์กับพ่อและกับพระเจ้า

     ผลพวงจากการที่แซม สมิธ แจ้งเกิดมาจากเพลง “Latch” ที่ร่วมงานกับดิสโคลสเชอร์ และเพลง “La La La” ของนอตี้บอย ซึ่งต่างเป็นเพลงแดนซ์-ซินธ์ป๊อปทั้งคู่ น่าจะมีส่วนช่วยให้อัลบั้ม The Thrill of It All ออกมาไม่หม่นเศร้าแบบแบนๆ หากแต่เป็นการหม่นเศร้าแบบมีเท็กซ์เจอร์ ด้วยการเจือบีตคึกคักและลูกเล่นสมัยใหม่เข้าไปในเพลงโซลได้อย่างแนบเนียน รวมไปถึงการใช้โครงสร้างแบบ doo-wop ในยุค 50’s ในเพลง “One Last Song” และ “Baby You Make Me Crazy” อีกเพลงที่โดดเด่นคือ “Midnight Train” ที่มีความอาร์แอนด์บีแท้ๆ แบบไม่ปรุงแต่ง กับเนื้อหาที่พูดถึงการจำใจเดินแยกทางจากคนรัก ฟังง่ายและติดหูพอๆ กับ “I’m Not the Only One”

     ที่น่าสนใจคือการที่สมิธเลือกศิลปินหญิงโนเนมจากอาร์คันซัสนาม YEBBA มาร่วมฟีเจอริ่งในเพลง “No Peace” แทนที่จะเลือกศิลปินดัง (ที่เขาเลือกได้สบายอยู่แล้ว) แต่นั่นคือจุดมุ่งหมายของสมิธที่ต้องการปั้นศิลปินที่ไม่มีใครรู้จักให้ดัง แทนที่จะร่วมงานกับซูเปอร์สตาร์ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือสมิธยังคงพยายามทำงานเพลงให้ออกมาเป็นเพลงโซลป๊อปที่บริสุทธิ์ เจือปนดนตรีสังเคราะห์ให้น้อยที่สุด (และปราศจากท่อนแร็พ) นั่นส่งผลให้ The Thrill of It All เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของปีนี้ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน ทั้งในด้านดนตรี เนื้อหา และอารมณ์… บางทีความเซนซิทีฟมากเกินไปก็เป็นผลดี