Vogue Thailand

LIFESTYLE

เปิดตำนาน Loftus Hall บ้านผีเฮี้ยนที่สุดแห่งไอร์แลนด์ที่กำลังจะถูกขายทอดตลาดราคา 100 ล้านบาท

Loftus Hall กับเรื่องราวผีเด็กหญิงที่ตรอมใจตายเพราะคนรักปริศนาคือปีศาจ

โดย Nattanam Waiyahong
10 สิงหาคม 2563

     “บ้านผีสิง” คำนี้มาพร้อมความน่ากลัวเสมอ แต่ก็ใช่ว่าน่ากลัวแล้วจะลดทอนคุณค่าของสิ่งปลูกสร้างหรือทำให้คนหันหน้าหนีเสมอไป เพราะ Loftus Hall คือสถานที่เฮี้ยนชื่อดังที่กลายเป็นจุดหมายสำคัญที่นักท่องเที่ยวผู้แวะไปเยี่ยมเยียนไอร์แลนด์ต้องลองสัมผัส เรียกได้ว่าที่แห่งนี้คือหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ทั้งในเชิงการบันทึกเรื่องราวและสถาปัตยกรรม ฮอลล์แห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย และไม่แปลกเลยที่สิ่งปลูกสร้างอายุมากขนาดนี้จะมีเรื่องราวเล้นลับให้เล่าขานต่อกัน และเรื่องสำคัญก็ไม่พ้นเรื่องผีสาง

Article

บริเวณ Hook Peninsula ในปัจจุบัน

     ย้อนกลับไปกว่า 800 ปีบริเวณนี้เป็นปราสาทแถบ Hook Peninsula ย่านเว็กซ์ฟอร์ด เป็นพื้นที่ของ Raymond Les Gros (เปลี่ยนนามสกุลเป็น Redmond เพื่อเข้ากับชื่อแบบไอริชในเวลาต่อมา) ก่อนที่หลังจากนั้นเกือบ 200 ปี ช่วง “Black Death” ครอบครัวเรดมอนด์ก็ได้สร้างแมนชั่นขนาดมหึมาในชื่อ “Redmond Hall” เพื่อทดแทนปราสาทเก่าที่ทรุดโทรมลงเต็มทนแล้ว ครอบครัวเรดมอนด์ครองทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นนานถึง 310 ปี ก่อนจะขายทอดให้กับครอบครัว Loftus และเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อเดียวกับชื่อในปัจจุบัน

Article

ความน่ากลัวของ Loftus Hall ในยามเย็น / ภาพ: Authentic Ireland

     จนกระทั่งปี 1775 เรื่องราวสุดพิศวงก็เกิดขึ้นและทำให้ลอฟตัสฮอลล์กลายเป็นตำนานแห่งประเทศไอร์แลนด์ มีบันทึกเรื่องราวพูดถึงเหตุการณ์นี้ว่า Anne หญิงสาววัยเด็กในครอบครัวใหญ่อยู่บ้านพร้อมกับ Charles Tottenham คุณพ่อ และภรรยาใหม่อย่าง Jane Cliffe ตกดึกคืนนั้นคนอื่นในครอบครัวล้วนไม่อยู่บ้าน มีเพียง 3 คนดังกล่าวเฝ้าแมนชั่นโอ่โถงนี้ ทันใดนั้นระหว่างเกิดพายุมีเรือปรากฏขึ้นที่ชายฝั่งและพบเห็นชายคนหนึ่งกำลังประสบชะตากรรมอันโหดร้าย ชาร์ลส์จึงเปิดให้เขาเข้ามาหลบภัย มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องน้ำใจงามและจบลงด้วยดี แต่เรื่องราวมันไม่จบง่ายๆ

Article

ห้องที่ให้อารมณ์ขนหัวลุกอย่างยิ่งใน Loftus Hall / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     ชายหนุ่มปริศนาอยู่ที่ลอฟตัสฮอลล์หลายคืน เขาสนิทกับแอนน์ลูกสาวคนเล็กของบ้านได้อย่างดี เกมไพ่คือสิ่งที่พวกเขาใช้เชื่อมสัมพันธ์กันมาโดยตลอด แต่มีจังหวะหนึ่งที่แอนน์เล่นเกมไพ่กับหนุ่มคนดังกล่าว เธอทำไพ่ตกลงพื้นและก้มลงไปหยิบอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอก็พบว่าชายปริศนามีเท้าลักษณะเป็นกีบไม่ใช่เท้ามนุษย์ เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าแอนน์รู้ถึงความแปลกประหลาด ตามเรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมาอย่างยาวนานเสริมต่อว่าชายคนนั้นพุ่งทะลุออกจากหลังคาดั่งลูกไฟเพลิง มันคือปรากฏการณ์ให้แอนน์ช็อกจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

Article

Tapestry Room ห้องที่มีการอ้างว่าหญิงสาวอุดอู้อยู่คนเดียวจนเสียชีวิต / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     การหลอกหลอนของปีศาจร่างชายหนุ่มที่แอนน์หลงรักทำให้เธอกลายเป็นคนสติเฟื่องในทันที เธอรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอป่วยทางจิต ทุรนทุรายอยู่ในห้องคนเดียว ปฏิเสธการดูแลทุกรูปแบบ ไม่กินแม้กระทั่งอาหารประทังชีวิต เอาแต่นั่งกอดเข่าจ้องมองออกสู่วิวท้องทะเล(คาดว่าจะเฝ้ารอเรือลำนั้นกลับมาหาเธออีกครั้ง) และสุดท้ายเธอก็เสียชีวิตลงในห้องดังกล่าว มีบันทึกว่าเธอนั่งอยู่อย่างนั้นจนกล้ามเนื้อไม่สามารถถูกยืดออกได้อีกต่อไป เธอเสียชีวิตในท่านั้นและคนจัดการศพทำได้เพียงนำเธอไปฝังในลักษณะกอดเข่าเช่นเดิมเสมอมา หลังจากนั้นลอฟตัสฮอลล์ก็ไม่เคยเป็นสุขอีกเลย...

Article

บรรยากาศความสวยงามที่ซ่อนความน่ากลัวเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     ไม่ใช่แค่เรื่องราวภายในบ้าน แต่ความเป็นจริงที่ทำเอาขนหัวลุกโดยไม่ต้องมีเรื่องเหนือธรรมชาติคือบรรยากาศรอบๆ เพราะนอกจากคฤหาสน์มโหฬารนี้แล้ว บริเวณนั้นไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่เลย แถมอากาศรวมถึงวิวทิวทัศน์ก็ชวนหวาดกลัวไปเสียหมด เรารับประกันเลยว่าไม่ต้องฟังเรื่องเล่าแต่เดินทางไปเยี่ยมชมที่นี่ยามพลบค่ำเป็นต้นไปก็ทำใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ได้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีการผลิตซ้ำความหลอนให้กับสถานที่แห่งนี้มานานนับร้อยปี เพราะฉะนั้นก็ไม่แปลกที่คนมีความรู้สึกถึงด้านมืดเกี่ยวกับลอฟตัสฮอลล์ เพราะเรื่องราวทั้งหมดมักถูกเล่าแซมความน่ากลัวไว้เสมอ

Article

โถงที่ดูหรูหราแต่ซ่อนความขนหัวลุกไว้ไม่น้อย / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     “Polstergeist” หรือการที่สิ่งของขยับเขยื้อนเองเป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่หนังสือหลายเล่ม รวมถึงพยานบุคคลหลายปากจากสมัยก่อนยืนยันว่าเหตุการณ์เร้นลับแบบนี้เกิดขึ้นจริง มันเหมือนกับว่าวิญญาณของแอนน์ไม่ได้ไปสู่สุขคติ เธอยังวนเวียนเฝ้ารอชายแปลกหน้าผู้มามอบความรักให้กับเธอในลอฟตัสฮอลล์สุดยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่ก็มีเรื่องเล่าอีกทางหนึ่งกล่าวว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเหลวไหล ความจริงคือหนุ่มคนนั้นหลงรักแอนน์และอยากแต่งงานแต่ไม่ผ่านการอนุมัติจากคุณพ่อ เขาจึงถูกขับไล่ออกไป แต่เรื่องเด็กสาวเป็นโรคซึมเศร้านั้นเล่าตรงกันว่าจริง

Article

ความมืดมิดที่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า Loftus Hall เคยเปิดให้บริการเป็นโรงแรม / ภาพ: Visit New Ross

     เรื่องราวถูกเล่าขานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการก็มิวายกลายเป็นเป้าในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐี ในปี 1917 ลอฟตัสฮอลล์ถูกซื้อและแปลงโฉมเป็นโรงเรียนคอนเวนต์หญิงล้วน จนต่อมาปี 1983 Michael Devereaux ฟื้นฟูอาคารอีกครั้งพร้อมเปิดเป็นโรงแรม “Loftus Hall Hotel” และคาดว่าเรื่องราวขนหัวลุกจะทำพิษเพราะโรงแรมก็ปิดตัวลงในเวลาต่อมาไม่นาน

Article

บรรยากาศสลัวๆ แบบนี้คงถูกใจนักล่าท้าผีไม่น้อย / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     ความน่ากลัวที่เล่าขานกันมาหลายร้อยปีสุดท้ายก็ชี้ช่องให้คนกล้าลงทุนกับลอฟตัวฮอลล์อีกครั้ง ครอบครัว Quigley ทำการซื้อบ้านผีสิงหลังนี้ในปี 2011 ด้วยราคาเพียง 800,000 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น และพวกเขาก็หัวหมอเปิดที่แห่งนี้ให้เข้าชมเพื่อทัวร์พิสูจน์ความน่ากลัวตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา มีคนให้คำนิยามว่าที่นี่คือสถานที่ที่เฮี้ยนที่สุดในไอร์แลนด์ กลายเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และรายการวาไรตี้มากมาย วันนี้ความน่ากลัวของมันจะถูกส่งทอดต่ออีกครั้ง สิ่งปลูกสร้างหลังโตกำลังจะเปลี่ยนมือด้วยการปิดป้ายราคาขายไว้แล้วตอนนี้

Article

ความยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ถูกติดป้ายราคาขายทอดตลาดที่ 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น / ภาพ: Courtesy of Loftus Hall

     ณ ปัจจุบันราคากลางของลอฟตัสฮอลล์อยู่ที่ประมาณ 3,000,000 เหรียญสหรัฐฯ คฤหาสน์หลังโตจำนวน 22 ห้องนอนถือว่ามีราคาขายที่ต่ำมาก นั่นก็คงเป็นเพราะเรื่องเล่าและการแชร์ประสบการณ์ของผู้มาเยี่ยมชมตลอดหลายปีที่อ้างว่ามาทีไรก็สัมผัสความรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่แน่วันใดวันหนึ่งคนซื้อไปอาจจะได้พบกับแอนน์ที่ขังตัวอยู่ในห้องจนสิ้นลม หรือพบชายปริศนามาเทียบเรือเพื่อขอพักอาศัยอีกครั้ง เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลต้องใช้วิจารณาญาณในการพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าเรื่องนี้ให้บทเรียนถึงความมีอิทธิพลในการสร้างพลังผ่านบันทึกเรื่องราวที่ทำส่งผลมานานนับร้อยปี เพราะยิ่งเน้นย้ำ เล่าซ้ำ ยิ่งดูมีน้ำหนักให้คนยึดถือกัน แม้สถานที่แห่งนี้จะเดินข้ามเวลาไกลเพียงใดเรื่องนี้ยังคงติดตัวเป็นเหมือนรอยสักบนร่างกายเสมอ มันสะท้อนให้เห็นเหมือนเป็นบทเรียนว่าถ้าจะเริ่มสร้างเรื่องราวต่างๆ จงพึงรำลึกไว้เสมอว่ามันจะกลายเป็นความจริงที่ถูกสร้างขึ้นและเล่าซ้ำจนติดสิ่งต่างๆ อย่างยาวนาน(หรือตลอดไป) ถ้าเราจะสร้างเรื่องโกหกจงหยุดพักและเล่าขานแต่ความจริงที่เกิดขึ้นแม้มันอาจจะเป็นเรื่องลบก็ตาม

 

ข้อมูล: Loftus Hall, New York Post, Visit New Ross, Ancient Origins และ Irish Times