Vogue Thailand

เมื่อโทษประหารเป็นของหวานในสังคม

ผมโคตรชอบดูหนังประเภท ‘แก้แค้น’ แบบ Kill Bill หรือแม้แต่ ล่า (ขอเป็นเวอร์ชั่นพี่นก สินจัย)

โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์
20 มิถุนายน 2561

     ผมโคตรชอบดูหนังประเภท ‘แก้แค้น’ แบบ Kill Bill, Dogville, Carrie, Inglourous Basterds หรือแม้แต่ ล่า (ขอเป็นเวอร์ชั่นพี่นก สินจัย) ทว่าในชีวิตจริง เคยแอบคิดถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งเกิดมีคนมาทำร้ายคนในครอบครัวหรือคนที่เรารัก เราจะไปตามจองล้างจองผลาญชีวิตเขาให้สาสมกับที่เราสูญเสียหรือไม่ เรื่องนี้ตอบยาก เพราะสถานการณ์รุนแรงขนาดนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต

     ในฐานะที่เกิดและโตแบบคนเมือง แน่นอนล่ะว่าความหงุดหงิด รำคาญ ขุ่นข้อง หมองใจ จากการใช้ชีวิตอันแสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวัน ผมเกลียดคนไม่ยืนชิดบันไดเลื่อนบีทีเอส, ผมเบื่อคนเดินช้าและเดินเรียงแถวหน้ากระดานทำให้ขวางทางเดิน, ผมไม่ชอบที่พนักงานเพิ่งเสิร์ฟน้ำหลังจากกินอาหารหมดไปครึ่งจาน, ผมไม่ชอบคนขับรถฝ่าไฟแดง ขับผิดเลน และปาดหน้า ยังไม่นับว่าต้องพบเจอผู้คนและเพื่อนร่วมงานที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ ซึ่งแน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เราพอใจได้ทุกคน แต่ถามว่า “ผมจะหยิบดาบซามูไรแบบ Kill Bill มาฟันหัวมันเลยดีไหม” ก็คงไม่ขนาดนั้น หรือสิ่งที่พอคิดได้ในหัวก็อาจจะมี “มึงปาดมา กูปาดกลับ” “มึงมารยาทไม่ดีมา กูมารยาทไม่ดีกลับ” “ทำงานชุ่ยมา กูชุ่ยกลับ” “หยาบคายมา กูหยาบคายกลับ” แต่ก็ไม่อีกนั่นแหละ สุดท้ายก็ได้แต่กร่นด่าอยู่ในใจ กลับบ้านเปิดเพลงฟัง ดูเน็ตฟลิกซ์... แล้วก็ให้มันผ่านไป (นอกจากเรื่องงานที่เรียกมาคุยหารือกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา)

     บางคนอาจจะมองว่า “เป็นการเก็บกดอารมณ์” ก็ไม่ผิดนักหรอก แต่ขณะเดียวกันผมว่ามันคือ “การลดความเกลียดชังในสังคม” ด้วยเช่นกัน และในที่นี้รวมไปถึงการ “ไม่โพสต์ต่อว่าด่าทอบนเฟซบุ๊ก” ด้วยเช่นกัน (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก)

     ผมรู้สึกหัวเสียทุกครั้งที่เห็นข่าวอาชญากรรม ปล้น ฆ่า ข่มขืน ซึ่งคนร้ายกว่าครึ่งล้วนเคยกระทำความผิดหรือต้องโทษอยู่ในเรือนจำมาแล้ว นำมาสู่คำถามว่า “การต้องโทษในเรือนจำ ไม่ได้ช่วยให้ไอ้พวกเลวนี่ดีขึ้นเลย” แล้วมันเกิดขึ้นเพราะอะไรล่ะ คำตอบที่ตามมาแบบกำปั้นทุบดินก็อาจจะเป็น “เลวในสันดาน” และคำพูดต่อมาคือคือ “คนอย่างมัน อย่าอยู่ให้รกโลกเลย”

     การลงโทษตามหลักทัณฑวิทยา (Penology) มีวัตถุประสงค์หลายประการด้วยกันคือ หนึ่ง- การแก้แค้นด้วยการลงโทษผู้กระทำผิดให้สาสม ไม่ว่าจะต่อผู้สูญเสียหรือต่อสังคม สอง- การป้องกันยับยั้งหรือข่มขวัญให้เกรงกลัวต่อกฏหมาย สาม- การตัดโอกาสกระทำผิดเพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดหมดโอกาสที่จะทำผิดซ้ำ และ สี่- การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด ซึ่งน่าจะเป็นข้อเดียวจากทั้งสี่ข้อที่ให้การช่วยเหลือและเยียวยาผู้กระทำผิดให้กลับคืนสู่สังคมในสภาพที่สมาชิกของสังคมให้การยอมรับ โดยสมมติฐานของการฟื้นฟูผู้กระทำผิดคือ มนุษย์ไม่ได้เป็นอาชญากรโดยการเกิดหรือโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะแก้ไขผู้กระทำความผิดให้กลับมา

     ผมตอบไม่ได้ว่านักโทษที่พ้นเรือนจำออกมา จะมีสักกี่คนที่กลับตัวกลับใจเป็นคนดี แต่อย่างน้อยผมคิดว่าน่าจะมากกว่าโอกาสที่สังคมอ้าแขนยอมรับการกลับมาของเขา ผมถามว่า “ถ้ามีคนที่เคยติดคุก ไปสมัครงานบริษัทคุณ คุณจะรับไหม?”

     โดยส่วนตัวผมคิดว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมพอที่จะยกเลิก ‘โทษประหารชีวิต’ และผมก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรที่จะมาเรียกร้องหามนุษยธรรม เพราะเอาจริงๆ คุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศเรายังต่ำเตี้ยเรี่ยราดเสียขนาดนี้ ดังนั้นอย่ามาเรียกร้องหาคำว่ามนุษยธรรมเลย คุณภาพชีวิตในที่นี้หมายถึงนโยบายด้านการศึกษา แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น สิทธิของพลเมือง และอีกสารพัดที่จะนำไปสู่สังคมที่เจริญแล้ว

     แต่ในเมื่อเกิดข้อโต้แย้งแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราควรพูดถึงคือ “การตัดสินประหารชีวิตนักโทษ” ครั้งนี้ให้อะไรแก่สังคมบ้าง?

     บางคนบอกว่าเป็นเยี่ยงอย่างให้คนกลัวการกระทำผิด แต่จากผลวิจัยบอกว่าโทษประหารไม่มีผลต่อการลดการก่ออาชญากรรม

     นำมาสู่อีกคำตอบว่าอย่างน้อยมันก็ช่วยลดอัตราการเสี่ยงที่นักโทษในคุกจะออกไปก่ออาชญากรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก

     แต่เท่าที่ผมได้อ่านคอมเมนท์ต่างๆ บนเฟซบุ๊กส่วนใหญ่จะออกแนว ‘ล้างแค้นอย่างสะใจ’ และร่วมกัน ‘สร้างความรุนแรงมากขึ้น’ แม้จะเขียนในเชิงสนุกก็ตามที คอมเมนท์ไหนที่ออกแนวคัดค้านโทษประหาร ไม่ว่าจะด้วยเหตุด้วยผลอะไร ก็จะโดนตอกกลับประมาณว่า “รอให้ไปฆ่าคนในครอบครัวคุณก่อนนะ”

     เราเคยวิเคราะห์กันไหมว่า ทำไมคนคนหนึ่งถึงโหดเหี้ยมทารุณฆ่าเด็กนักเรียนคนหนึ่งด้วยการจ้วงแทงถึง 24 แผลเพื่อไอโฟนเพียงเครื่องเดียว มันต้องมีปัจจัยอื่นๆ จากสังคมรอบข้างหรือเปล่าที่ทำให้เขาก่อเหตุแบบนั้น หรือหากไม่ใช่คดีดังกล่าว คดีข่มขืน คดีฆาตกรรม และการใช้ความรุนแรงที่มีให้เห็นเป็นข่าวอยู่ทุกวัน ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทยทุกวันนี้

     ‘สังคม’ อาจต้องมีส่วนรับผิดชอบในทุกอาชญากรรมที่เกิดขึ้นหรือเปล่า?  

     ผมไม่ปฏิเสธว่าฆาตกรสุดเหี้ยมสมควรแล้วที่จะได้รับโทษประหารชีวิตหากมันมาจากตัวบทกฏหมายและการตัดสินจากศาล แต่ประชาชนในสังคมมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เขาตายหรือไม่ นั่นเป็นคำถามที่น่าคิด มันคล้ายกับว่า “ถ้ามีคนมาพูดจาหยาบคายใส่เรา เราไม่พอใจและพูดจาหยาบคายใส่กลับ นั่นเท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายหยาบคายพอกัน”

     สำหรับคนที่บอกว่า “ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต”

     การประหารชีวิตคนคนหนึ่งที่มาฆ่าลูกของคุณ ไม่ได้ทำให้ลูกของคุณกลับคืนมา

     แต่การไม่ประหารชีวิตคนคนนั้น ยังทำให้แม่คนหนึ่งไม่สูญเสียลูกของเธอไป แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็ตาม

     ไม่ว่าคุณจะเลือกสนับสนุนหรือคัดค้านโทษประหารชีวิต ผมว่าไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่อย่างน้อยขอให้คุณรู้ว่าคุณเลือกข้อนั้นด้วยเหตุผลใด ถ้าคำตอบคือเพราะการล้างแค้นอย่างสะใจ นั่นไม่ต่างจากการโยนฟางเข้าใส่กระแสเพลิงแห่งรุนแรงที่โหมกระหน่ำอยู่ในสังคม

เมื่อโทษประหารเป็นของหวานในสังคม