Vogue Thailand

สตีเฟ่น คอลแบร์ ซูเปอร์แมนผู้พิทักษ์ยักษ์หน้าแดง

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 58 เมื่อปีเศษที่ผ่านมา สร้างความสับสนงุนงงให้กับอเมริกันชนทั้งประเทศ (รวมไปถึงผู้คนทั่วโลก) เมื่อคะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์ เฉือนเอาชนะคู่แข่งสตรีเหล็กตัวเก็งอย่าง ฮิลลารี่ คลินตัน ไปได้อย่างขาดลอย โพลหลายสำนักถูกวิพากษ์อย่างหนัก นักวิชาการต่างตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่เว้นแม้แต่ สตีเฟ่น โคลเบิร์ต พิธีกรหนุ่มใหญ่ฝีปากร้ายแห่งรายการ The Late Show with Stephen Colbert ที่เอ่ยปากยอมรับว่าตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง และเขาควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาความรู้สึกขัดแย้งของคนในชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกวัน

โดย ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์
13 มีนาคม 2561

     ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 58 เมื่อปีเศษที่ผ่านมา สร้างความสับสนงุนงงให้กับอเมริกันชนทั้งประเทศ (รวมไปถึงผู้คนทั่วโลก) เมื่อคะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์ เฉือนเอาชนะคู่แข่งสตรีเหล็กตัวเก็งอย่าง ฮิลลารี่ คลินตัน ไปได้อย่างขาดลอย โพลหลายสำนักถูกวิพากษ์อย่างหนัก นักวิชาการต่างตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่เว้นแม้แต่ สตีเฟ่น โคลเบิร์ต พิธีกรหนุ่มใหญ่ฝีปากร้ายแห่งรายการ The Late Show with Stephen Colbert ที่เอ่ยปากยอมรับว่าตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง และเขาควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อบรรเทาความรู้สึกขัดแย้งของคนในชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกวัน

     ภาพจำของผู้ชมโทรทัศน์ที่มีต่อ สตีเฟ่น โคลเบิร์ต นั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเขามีความเป็นคนอเมริกันจ๋า และมีความคิดโน้มเอียงไปทางขวาจัดอีกต่างหาก ทั้งยังทำสิ่งที่หลายคนขัดข้องใจ นั่นก็คือการออกโรงปกป้องทรัมป์หลายต่อหลายครั้ง ถึงแม้ในบางครั้งจะพยายามทำให้ดูตลกโดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคายก็ตาม แต่อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เว้นแม้แต่สตีเฟ่น ที่อยู่ๆ ก็กระชากชุดสูทเปลี่ยนโฉมเป็นซูเปอร์แมนในชั่วข้ามคืน โดยการหันมาจิกกัดทรัมป์ให้กลายเป็นตัวตลกเสียเอง ส่งผลให้เรตติ้งรายการกลับพุ่งกระฉูด เบียดแชมป์หน้าเก่าอย่างจิมมี่ คิมเมล ตกบังลังก์ไปแบบงงๆ การเป็นคนปากจัดชอบจิกกัดชาวบ้านนี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาหรือไม่ และทำไมเขาถึงสารภาพว่าทรัมป์เป็นแขกรับเชิญที่ห่วยแตกที่สุด GQ ได้เชิญสตีเฟ่นมาจับเข่าคุยกัน



ดูเหมือนประเทศเรากำลังถอยหลังลงคลองนะ แต่จริงๆ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือเปล่าเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ทางการเมืองในอดีต คุณคิดว่าไง

     ในอดีตเราผ่านอะไรที่แย่กว่านี้มาแล้วนะ อย่างคดีของเดร็ด สก็อตต์ (Dred Scott’s decision)* เป็นต้น นั่นแย่ยิ่งกว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่หลายร้อยเท่า

คุณกำลังจะบอกว่าทรัมป์ดีกว่ากรณีของเดรด สก็อตต์

     มันอาจดูก้ำกึ่งอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ ทรัมป์ดีกว่านั้นเยอะ การเลือกตั้งของเขาที่ผ่านมามันก็เหมือนกับการปาหินก้อนหนึ่งลงไปในสระ แล้วมันก็กระเด้งกระดอนไปบนผิวน้ำไม่จบไม่สิ้น ซึ่งคงใช้เวลาไปอีกหลายสิบปีกว่าพวกเราจะฟื้นตัวจากหลายๆ อย่างที่เขากำลังทำกับประเทศของเราอยู่

คุณแน่ใจเหรอว่าพวกเราจะฟื้นตัวได้

     ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าพวกเราจะรักษาอาการบาดเจ็บจากการเลือกคนแบบนั้นมาเป็นผู้นำประเทศของเราได้ยังไง หรือแม้แต่เราจะกอบกู้ศีลธรรม จริยธรรม กลับมาให้ประชาคมโลกได้เชื่อถือกันอีกเมื่อไหร่ เพราะมันเหมือนว่าพวกเราเลิกใส่ใจเรื่องเหล่านั้นไปแล้ว

ย้อนไปในวันพิธีสถาปนาประธานาธิบดี โอบาม่ายังคงความเนี้ยบเหมือนเคย แต่ทรัมป์นี่เหมือนหนังคนละม้วนกันเลย มันชวนให้เกิดคำถามนะว่า “นี่เรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง”

    ผมมองว่าการที่ทรัมป์เป็นตัวแทนในการนำเสนออเมริกาต่อประชาคมโลก มันก็เหมือนกับการได้ยินเด็กดื้อมากๆ สักคนที่มักพูดคำหยาบคายตลอดเวลา มันน่าสะเทือนใจและน่าฉงนไปในเวลาเดียวกัน

รู้สึกเหมือนคุณทำรายการได้ถูกจังหวะพอดี ไม่ได้หมายความว่าทรัมป์ถูกลิขิตให้มาเป็นประธานาธิบดี แล้วคุณถูกส่งมาเพื่อต่อกรกับเขานะ แต่มันเหมือนกับว่านี่เป็นหน้าที่อะไรสักอย่างของตัวคุณเอง

     ผมไม่ได้มองตัวเองในภาพที่กว้างขนาดนั้นหรอก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกภูมิใจที่รู้จุดหมายของตัวเองแล้ว รู้ว่าจะต้องทำอะไรในทุกๆ วัน นั่นทำให้ผมต้องจับตามองสถานการณ์รอบๆ ตัวตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อนำมาเล่าในรายการให้ผู้ชมฟัง คืนที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งว่าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี มันเป็นรายการสดที่อึดอัดใจที่สุดที่ผมเคยทำมา ในการต้องกล่าวถึงความจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าคนดู และรับรู้ความรู้สึกของทุกคนร่วมกัน มันเป็นคืนที่ยาวนานอย่างมาก หลังจากคืนนั้นบรรณาธิการข่าวคนหนึ่งได้พูดกับผมว่า “ถ้าคุณยังสงสัยว่าทำไมคุณถึงถูกเลือกเป็นพิธีกรรายการนี้ นี่ละคือคำตอบ”

การลงเลือกตั้งของทรัมป์ เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนดูด้วยหรือเปล่า

ผมว่าพวกเขาน่าจะรับรู้ว่าผมรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ผมรักงานนี้นะ และผมก็รู้สึกโล่งใจที่คนดูต่างก็ยอมรับในตัวของผม

คุณดูอารมณ์ดีอยู่เสมอ มีเคล็ดลับอะไรบ้าง ในเมื่อคุณต้องจับตากับสถานการณ์รอบตัวตลอด 24 ชั่วโมง

     ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะภรรยาและลูกๆ ของผม เอาจริงๆ ผมก็แก่กว่าพิธีกรชายหลายๆ คนที่ยังคงทำรายการอยู่ตอนนี้ รายการที่แล้วผมเริ่มตอนอายุ 41 รายการนี้ผมมาเริ่มเอาตอน 51 ในขณะที่บางคนอย่างโคนัน นั่นเขาก็เริ่มตอนอายุ 30 กว่าๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็แต่งงานและมีลูกแล้ว ทำให้ผมได้รับพลังงานจากความรักและความห่วงใยของพวกเขาในทุกๆ วัน มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและแจ่มใสอยู่เสมอ ก็เหมือนกับดวงจันทร์ที่เราเห็นเมื่อตอนเช้ามืดนั่นละ ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวสว่างสดใส ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดวงดาวและก้อนเมฆ มันสะท้อนความจริงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร แค่ตอบสนองสิ่งที่มันเป็น เราอาจจะเปลี่ยนชีวิตของใครให้ดีขึ้นได้ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เราไม่เครียดจนเกินไป

ชีวิตนอกจอล่ะ ตอนนี้คุณอยู่ละแวกนอกเมืองที่นิวเจอร์ซีย์ คุณมีแผนจะย้ายบ้านเร็วๆ นี้ไหม

     ผมชอบสภาพแวดล้อมที่อยู่ปัจจุบันนะ ผมชอบเวลาที่อยากจะใส่กางเกงสีกากีตัวไหนดีก็ขับรถออกไปเอาที่ร้านซักแห้ง ผมชอบอยู่ไกลจากผู้คนหน่อยๆ เพื่อนบ้านของผมก็ไม่มีใครอยู่ในวงการโทรทัศน์เลย เพื่อนสนิทเกือบทั้งหมดของผมเป็นพวกนักธุรกิจ นักลงทุน และก็สนับสนุนพรรครีพับลิกันด้วย

พวกเขาได้ดูรายการของคุณบ้างไหม

     พวกเขาเคยมาที่รายการของผมด้วยนะ บางทีก็พาลูกๆ มาด้วย แต่นั่นไม่เห็นจะสำคัญอะไรนี่นา

คุณไม่เคยรู้สึกว่าการพยายามทำตัวเท่เป็นภาระเลยสักนิด

     แน่นอน ผมเป็นแค่ชายผิวขาวชาวอเมริกัน นิสัยแมนๆ เป็นคริสเตียน-คาทอลิก ถ้าคุณอยากรู้-ซึ่งมันก็ฟังดูตลกนะจะถ้าพูดว่าตัวเองเป็น “ชาวอเมริกันแท้” เพราะตลอดการทำงานจนถึงทุกวันนี้ ผมเจอแต่คำถามประเภทที่ว่า “ทำไมต้องเป็นอเมริกันแท้ ความเป็นอเมริกันแท้เหนือกว่าคนอเมริกันทั่วไปยังไง” ดังนั้นผมจึงนำเอาความภูมิใจในสายเลือดของตัวเองมาแสดงออกผ่านรายการโทรทัศน์

ซึ่งก็คือการแสดงเป็นชายผิวขาว

     ผมคือชายผิวขาวที่แสดงเป็นชายผิวขาว นั่นแหละคือคาแร็กเตอร์ของสตีเฟ่น โคลเบิร์ต เป็นชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งผู้ซึ่งเทิดทูนความเป็นชายผิวขาว แต่การแสดงหน้าจอโทรทัศน์ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือการยอมรับว่านี่แหละคือตัวของผม ซึ่งมันฟังดูงงๆ หน่อย แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างอื่น ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ ถ้ามันจะดูเฉิ่ม มันก็เฉิ่ม ซึ่งผมก็คงไม่เปลี่ยนมัน

หมายความว่าคุณหยุดตั้งคำถามกับตัวเองแล้ว

     ไม่นะ ผมยังถามอยู่ แต่แค่ไม่ได้ถามเพื่อค้นหาด้านลบเหมือนอดีต ตอนนี้ผมถามเพื่อค้นหาด้านที่เป็นบวกมากกว่า

พูดถึงบทบาทนักสัมภาษณ์ของคุณสักหน่อยสิ

     ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ถูกสัมภาษณ์เกือบทุกคนมีเรื่องที่อยากจะเล่า เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องตบบทสัมภาษณ์ให้เข้ารูปเข้ารอยเพื่อผู้ชมจะได้รับรู้เรื่องราวอย่างสนุกสนาน แต่ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ผมจะต้องคอยป้อนคำถามเพื่อหาคำตอบต่อข้อสงสัยให้ได้มากที่สุด ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเขาเอง แต่ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะไปบิดเบือนเรื่องราวของพวกเขา

ช่วงที่ดีที่สุดในโชว์ของคุณคือการเปลี่ยนจากการถามมาตอบไปเป็นการโต้วาที ดูเหมือนคุณจะกระชุ่มกระชวยมากเวลาที่มีใครไล่ต้อนคุณเสียจนมุม เลตเทอร์แมนก็เป็นเหมือนกัน

     ผมชอบมาก นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเราถึงเชิญ บิลล์ มาเฮอร์ มาบ่อยๆ เราเคยถกเถียงกันเรื่องสัพเพเหระมานานมากแล้ว พระเจ้า! มันสนุกมาก ยิ่งเขามีเหตุผลมาค้านมากเท่าไรยิ่งทำให้รายการดูสนุกขึ้น

เหมือนกับบิลล์ มาเฮอร์ พร้อมที่จะค้านคุณตลอดเวลา ถึงแม้คุณจะถามแค่ประโยคง่ายๆ “ทำไมคุณต้องทำแบบนั้น” แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงแม้คุณถามออกไปโดยไม่คิดอะไร

     เขาก็จะรู้สึกว่าคุณกำลังไปตัดสินเขา และก็จะปิดปากเงียบทันที

ทรัมป์คือแขกรับเชิญที่น่าเบื่อที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การสัมภาษณ์ของผม เอ็ด พี่ชายของผมนั่งฟังร่วมกับผู้ชมในห้องส่ง คืนที่ทรัมป์มาให้สัมภาษณ์ในปี 2015 หลังจากโชว์จบเขาพูดกับผมว่า

     “โอเค แน่ใจนะว่านั่นไม่ใช่หุ่น” เพราะตลอดการสัมภาษณ์ ทรัมป์ไม่มองตาผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ให้ตายสิ! เขานั่งกุมมือบนหน้าตักเหมือนกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง และดูเหมือนเขาจะระแวงทุกอย่างรอบตัวไปหมด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว รวมถึงไม่ต้องการให้ดูเป็นมิตรมากเกินไปด้วย ซึ่งก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ผมสัมภาษณ์บิลล์ โอ’เรียลลี่ เมื่อนานมาแล้ว อารมณ์มันแบบ “เฮ้ย! ทำไมน่าเบื่อขนาดนี้วะ” ซึ่งตัวจริงของเขาต่างกันลิบลับกับที่เราเห็นในรายการของเขาเอง เพราะนั่นมันเป็นการสร้างภาพต่อหน้าแฟนๆ ของพวกเขาไงล่ะ

โอ’เรียลลี่ กับ ทรัมป์ ต่างก็สร้างภาพซึ่งก็เหมือนกับพิธีกรของรายการ The Colbert Report ในอดีตสินะ

     มีสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตก็คือ ต้องมีใครสักคนแสดงตัวตนออกมาอย่างเปิดเผย ซึ่งการสร้างคาแร็กเตอร์ขึ้นมาด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ให้คนอื่นช่วยปรับเปลี่ยนให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันจับต้องไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับประสบการณ์มาจากการทำรายการก่อนหน้า ก็คือผมจะต้องเป็นตัวของตัวเอง และผมจะต้องแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมากับแขกรับเชิญทุกคนในทุกแง่มุม การเปลี่ยนวิธีสัมภาษณ์มันค่อนข้างจะท้าทายมากสำหรับผมเอง

มันน่าสนใจมากตรงที่คุณมักจะเรียกตัวเองว่าเป็น ‘ผู้ตั้งคำถาม’ เพราะส่วนมากรายการทอล์กโชว์ วาไรตี้โชว์ช่วงดึก มักจะเป็นรายการที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกบันเทิงเริงใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ เสีย มากกว่า เช่น จิมมี่ ฟอลลอน ที่ชอบนำเสนอเรื่องตลกเบาสมอง ในขณะที่จิมมี่ คิมเมล ก็ยังไม่ชัดว่าจะไปทิศทางไหน ด้านเซธ เมเยอร์ส จะเน้นด้านการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามหลักเหตุและผล ส่วนแซม บี ก็จะเรียกร้องสิทธิความชอบธรรมต่างๆ และจอห์น โอลิเวอร์ ก็วางตัวเองเป็นจอมแฉ ซึ่งผมก็รู้สึกได้ว่าคุณคือผู้ตั้งคำถาม คุณเอาคนดูอยู่หมัดเพราะมันเป็นเรื่องราวใกล้ตัวของทุกคน

     นั่นเป็นเป้าหมายที่ดีเยี่ยมเลยนะ ซึ่งถ้าคุณรู้สึกแบบนั้นจริง ผมก็ดีใจที่ได้ยิน เพราะผมก็อยากมีแนวร่วมเหมือนกัน

ทำไมอย่างนั้นล่ะ

     บางครั้งผมก็มีมุมที่อยากมอบความรักให้คนอื่นๆ บ้าง หลายปีที่แล้วผมเคยเปรยๆ เรื่องนี้กับสไปค์ โจนส์ ตอนนั้นเขามาหาผม ถือช็อกโกแลต บาร์ มาแบ่งให้กินด้วย แล้วก็ถามว่าผมอยากให้รายการ The Late Show ออกมาเป็นยังไง ซึ่งเขาก็จดโน้ตเอาไว้แล้วก็ส่งโน้ตนั้นกลับมาให้ผมในวันที่เทปแรกเริ่มออกอากาศ “เอาไว้เตือน ว่านี่คือสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับโชว์นี้เมื่อ 6 เดือนก่อน” ผมถามเขากลับไปว่า “ผมสงสัยว่าคุณทำรายการคอมเมดี้โชว์ ให้คนทุกเพศทุกวัยรู้สึกรักได้ยังไง” ซึ่งใจผมเองก็ไม่ชอบที่จะใช้คำว่า “รัก” นักหรอก เพราะมันกลายเป็นคำพูดเบสิกไปแล้ว และมันก็เป็นคำที่ทำลายบรรยากาศให้กร่อยได้อย่างชะงัก เพราะความรักมันเป็นเรื่องซีเรียส ที่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาพูดเล่นกันสนุกปาก ผมเองยังรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะต้องพูดคำนี้เมื่อสักครู่เลย ผมอยากจะให้ปล่อยผู้ชมได้ใช้ความคิดไตร่ตรองด้วยตัวเอง รวมถึงประธานาธิบดีด้วย ถ้าหากเขาเริ่มพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าออกมา ผมก็จะเบรกทันที “ให้โอกาสได้ แต่ไม่อะลุ่มอล่วยเด็ดขาด”