Vogue Thailand

จับกระแสเจลีก 'มุ้ย-เจ-อุ้ม' จุดประกายความฝันแข้งไทย

มาวันนี้เรื่องที่เหนือจินตนาการดังกล่าวกำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว เมื่อ “เอล มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ สองซูเปอร์สตาร์ทีมชาติไทย กำลังจะเดินลงสนามปะทะกันเองในศึกฟุตบอล เจ1 ลีก ในฐานะคู่แข่งกัน ในเกมแรกของฤดูกาลใหม่ 2018 ระหว่าง “ไอ้หมีม่วงมหาภัย” ซานเฟรซเช ฮิโรชิมา กับ “เจ้าฮูกหิมะ” คอนซาโดเล ซัปโปโร

โดย GQ Thailand
02 มีนาคม 2561

     ...บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปสัก 3-4 ปีก่อน ไม่น่าจะมีใครจินตนาการถึงภาพนี้ออก

     ...ภาพของสองนักเตะไทยใส่เสื้อคนละสีและลงสนามแข่งกันเองในลีกฟุตบอลต่างประเทศ

     ...ที่สำคัญมันไม่ใช่ลีกไก่กาด้วย แต่เป็นระดับ “เจลีก” ลีกฟุตบอลลำดับชั้นตั้นๆ ของวงการฟุตบอลเอเชีย

     มาวันนี้เรื่องที่เหนือจินตนาการดังกล่าวกลายเป็นความจริงแล้ว เมื่อ “เอล มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ สองซูเปอร์สตาร์ทีมชาติไทย เดินลงสนามปะทะกันเองในศึกฟุตบอล เจ1 ลีก ในฐานะคู่แข่งกัน ในเกมแรกของฤดูกาลใหม่ 2018 ระหว่าง “ไอ้หมีม่วงมหาภัย” ซานเฟรซเช ฮิโรชิมา กับ “เจ้าฮูกหิมะ” คอนซาโดเล ซัปโปโร ซึ่งทีมของ 'เอล มุ้ย' เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 

     ที่สำคัญ ประตูลูกนั้นมาจากการโหม่งของ 'เอล มุ้ย' ในนาทีที่ 28 จารึกเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ทำประตูได้ในลีกสูงสุดญี่ปุ่น

มุ้ย - ธีรศิลป์ แดงดา

 

     ถึงแม้จะมีคำถามตามมาบ้างว่า “จงใจ” เกินไปหรือไม่ที่จัดโปรแกรมการแข่งขันได้เหมาะเจาะแบบนี้ เพราะอย่างที่พอจะเริ่มรู้กันว่าในเบื้องหลังของ “โอกาส” ที่นักเตะได้ไทยไปเล่นในญี่ปุ่นนั้น มาจากแผนการทำการตลาดที่ชาญฉลาดของทีมงานเจลีกที่ต้องการขยายฐานแฟนฟุตบอลไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพสูง

     พวกเขาใช้ “โอกาส” เพื่อแลกกับ “โอกาส” และนั่นหมายถึง “โอกาส” สำหรับนักเตะในภูมิภาคนี้ที่จะได้ก้าวไปสู่เวทีที่ใหญ่กว่า

     คิดง่ายๆ ให้สบายใจคืองานนี้ชนะทุกฝ่าย ไม่มีใครเสีย มีแต่ได้กับได้

เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์

 

     การที่สองซูเปอร์สตาร์ไทย โดยเฉพาะ “มุ้ยซัง” ธีรศิลป์ ที่เพิ่งจะย้ายไปร่วมทีม ซานเฟรซเช จะได้ลงเจอกับคนที่แจ้งเกิดได้สวยงามอย่าง “ชนาคุง” หรือ ชนาธิป ที่แฟนบอลคนญี่ปุ่นเรียก ย่อมเรียกความสนใจอย่างมากมายได้ โดยเฉพาะกับแฟนบอลชาวไทย หรืออาจจะขยายวงกว้างมากกว่านั้นด้วย เพราะเวลานี้นักเตะไทยก็ถือเป็น “สตาร์” ของวงการฟุตบอลเอเชียระดับย่อมๆ เหมือนกัน มันเป็นการจุดกระแสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน

 

     แต่ถ้าเรามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป การเผชิญหน้ากันเองครั้งแรกของสองนักเตะไทยครั้งนี้ (ซึ่งจะตามมาด้วยอีกหลายครั้ง เพราะเรายังมี “บุญจัง” ธีราทร บุญมาทัน ที่เล่นให้กับวิสเซิล โกเบ อีกทีม และมีดาวรุ่งตัวท็อปๆ ของประเทศอยู่ในระดับเจ 3 อีกหลายคน) จะเป็นการจุดประกายไฟในหัวใจของเด็กไทยทั่วประเทศ

     ที่ผ่านมาเด็กไทยฝันถึงโอกาสแบบนี้มาตลอด แต่ไม่เคยมีใครพาเรามาได้ไกลขนาดนี้มาก่อน จนกลายเป็นคนไม่กล้าที่จะฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักฟุตบอลไทยแตกต่างจากนักฟุตบอลญี่ปุ่นอยู่

     นักเตะอาทิตย์อุทัยนั้น สมัยก่อนก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายอะไรเลย ในรุ่นก่อนนั้นแทบจะเป็นลูกไล่ให้ไทยไล่ถลุงด้วยซ้ำ จนกระทั่งพวกเขาได้นักเตะคนหนึ่งที่สวมจิตวิญญาณบูชิโดไล่ล่าหาความฝัน นักเตะคนนั้นคือ คาซูโยชิ มิอุระ หรือ “คิงคาซู” ที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างในบ้านเกิด เดินทางไปบราซิลในวัยเพียง 15 ปีเพื่อตามหาความฝันในเกมลูกหนัง

     ปีที่เขาเริ่มออกเดินทางคือเมื่อ 1982 หรือ 36 ปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย ทั้งกำแพงภาษา วัฒนธรรม และการยอมรับ แต่คาซู ก็ไม่ยอมแพ้ เขาเรียนภาษาโปรตุกีสอย่างหนักเพื่อให้เข้าใจและสื่อสารกับคนอื่นได้ และพยายามขัดเกลาฝีเท้าจนกระทั่งได้ไปเข้าสโมสร คลับ อัตเลติโก จูเวนตุส หลังจากนั้นเขาถูกแมวมองของทีมใหญ่อย่าง ซานโต้ส พบและถูกเซ็นสัญญาในปี 1986 อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิต “คิง คาซู”

คาซูโยชิ มิอุระ

 

     มิอุระ ใช้เวลาในบราซิล 8 ปี เล่นให้กับหลายสโมสร และได้รับการยอมรับอย่างสูงจากชาวบราซิล

     ลองจินตนาการดูสิว่า บราซิล นั้นเป็นประเทศที่ถูกฟ้าลิขิตว่าทุกคนเกิดมาเพื่อเล่นฟุตบอล (ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง) คนเก่งๆนั้นเต็มไปหมด โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าล้วนแต่เข้าขั้นเทพทั้งนั้น แต่กับคนต่างชาติคนนี้สามารถที่จะเบียดแทรกเข้าไปช่วงชิงตำแหน่ง “หมายเลข 9” ในทีมมาครองได้

     ทุกอย่างมันเกิดจากความพยายามทั้งสิ้น

     อีกครั้งที่ คาซู พิสูจน์ความเป็น “นักบุกเบิก” และเป็นคุณูปการให้วงการฟุตบอลญี่ปุ่น คือวันที่เขาตัดสินใจจะเดินทางไปเพื่อค้าแข้งกับ เจนัว ในกัลโช่ เซเรีย อา เมื่อปี 1994 หลังกลับมาบ้านเกิดและประสบความสำเร็จสูงสุดคว้าแชมป์เจลีก กับ แวร์ดี้ คาวาซากิ และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเอเชีย หนึ่งปีก่อนหน้านั้น

     กับเจนัว เขาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เผชิญกับอุปสรรคมากมาย อีกทั้งคำหยามหยันว่าเขาได้ย้ายมาเล่นในลีกฟุตบอลที่หินที่สุดของโลก (ในเวลานั้น) เป็นเพราะเจนัว รับสปอนเซอร์จาก Kenwood ซึ่งบรรจุหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญคือจะต้องเซ็นสัญญากับ คาซู ด้วย (ขณะที่เจนัว ก็ได้เงินอีกทอดจาก Fuji Television ที่ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดเกมของ เจนัว กลับมาที่ญี่ปุ่นในฤดูกาลนั้น)

     แต่ในความล้มเหลว มันคือชัยชนะของ คาซู เมื่อเขาได้จารึกชื่อว่าเป็น “นักฟุตบอลญี่ปุ่นคนแรกที่ทำประตูในเซเรีย อา” ก้าวแรกของเขานำไปสู่การกรีฑาทัพของซามูไรสายเลือดใหม่ที่เดินตามหลังเขาอีกมากมาย

ฮิเดโตชิ นากาตะ

 

     ฮิเดโตชิ นากาตะ, ฮิโรชิ นานามิ, อัตซูชิ ยานางิซาวา, ชุนสุเกะ นากามูระ, ทาคายูกิ โมริโมโตะ, ยูโตะ นากาโมโตะ มาถึง เคซุเกะ ฮอนดะ และอีกมากมายที่กระจัดกระจายไปสร้างชื่อในลีกฟุตบอลยุโรป ไม่ว่าจะเป็น บุนเดสลีกา, พรีเมียร์ลีก, ลาลีกา, ลีก เอิง, ลีกดัตช์, ลีกเบลเยี่ยม ฯลฯ

     เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มันเริ่มมาจากจุดเล็กๆ ทั้งนั้น สำคัญคือกล้าและแกร่งพอหรือเปล่า

     วันนี้นักฟุตบอลไทยได้ “โอกาส” ที่รอคอยกันมาหลายสิบปีแล้ว ถึงมันจะไม่ใช่โอกาสยิ่งใหญ่เท่ากับการได้ไปเล่นในฟุตบอลลีกยุโรปก็ตาม แต่ไม่ใช่จะไม่สำคัญ

     ...ถ้า ชนาธิป ทำได้ในเมื่อวาน

     ...ถ้า ธีรศิลป์ และธีราทร ทำได้ในวันนี้

     มันหมายถึงความฝันในวันพรุ่งนี้ของเด็กไทยอีกมากมายนับไม่ถ้วน แล้ววันนึงเราจะมีนักเตะไทยที่ไปเล่นไกลถึงยุโรปได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยไม่ต้องใช้การตลาดหรืออำนาจนอกสนามช่วยเหลือแต่อย่างใด