Vogue Thailand

ประวัติศาสตร์นอกกรอบ: 'กุหลาบ' สงครามสายเลือดสู่ความดุเดือดของฟุตบอลในอังกฤษ

อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันวาเลนไทน์ เชื่อว่าใครหลายคนคงจะเตรียมสิ่งของให้กับคนพิเศษ ในโอกาสที่คบหาดูใจกันมาจนถึงวันแห่งความรักได้ในปีนี้ โดยสิ่งของเหล่านั้นคงเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักที่เรามีต่อคนนั้น ๆ เพื่อให้ไว้เป็นสัญลักษณ์แทนใจกัน โดยหากจะแสดงถึงความรักโรแมนติก เอาให้อีกฝ่ายรู้สึกประทับใจ แบบเขินจนบิดกันตัวเป็นเกลียวแล้วละก็ คงไม่มีคนใดที่จะไม่นึกซื้อดอกกุหลาบให้แก่คนรักอย่างแน่นอน เพราะสีแดงของดอกไม้ เปรียบเสมือนสีของหัวใจทั้งสองฝ่ายที่มีความรักพร้อมให้กันอยู่เสมอ

โดย พีรทรัพย์ วิชิตรัชนีกร
09 กุมภาพันธ์ 2561

     อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันวาเลนไทน์ เชื่อว่าใครหลายคนคงจะเตรียมสิ่งของให้กับคนพิเศษ ในโอกาสที่คบหาดูใจกันมาจนถึงวันแห่งความรักได้ในปีนี้ โดยสิ่งของเหล่านั้นคงเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักที่เรามีต่อคนนั้น ๆ เพื่อให้ไว้เป็นสัญลักษณ์แทนใจกัน โดยหากจะแสดงถึงความรักโรแมนติก เอาให้อีกฝ่ายรู้สึกประทับใจ แบบเขินจนบิดกันตัวเป็นเกลียวแล้วละก็ คงไม่มีคนใดที่จะไม่นึกซื้อดอกกุหลาบให้แก่คนรักอย่างแน่นอน เพราะสีแดงของดอกไม้ เปรียบเสมือนสีของหัวใจทั้งสองฝ่ายที่มีความรักพร้อมให้กันอยู่เสมอ

     หากแต่ใครจะรู้ว่าสีของดอกกุหลาบครั้งหนึ่งในประเทศอังกฤษนั้น ได้เคยแบ่งให้สายเลือดเดียวกันกลับต้องมาห้ำหั่นแย่งชิงอำนาจ ประหัตประหารจนเลือดนองไปทั้งแผ่นดิน มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นชนวนเหตุความขัดแย้งของทีมฟุตบอลชื่อดังในยุคหลัง ที่เจอกันทีไรเป็นต้องดุเดือดเลือดพล่านประหนึ่งดังกองทัพของแต่ละฝ่ายกลับมาสู้รบปรบมือกันอีกครั้ง สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์นอกกรอบจึงขอนำเสนอเรื่องราวอีกแง่มุมหนึ่งของดอกกุหลาบ ที่จะทำให้คุณรู้ว่า ดอกกุหลาบ ไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์แห่ง”ความรัก” อีกต่อไป

     ก่อนอื่นขอกล่าวถึงเรื่องราวและที่มาของดอกกุหลาบโดยสังเขป โดยดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่าเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว จากการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบยังเป็นดอกไม้ป่า มีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาเพาะปลูก จึงทำให้เกิดการพัฒนาทางสายพันธุ์ จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ และมีรูปร่างดังที่เห็นในปัจจุบัน 

     โดยการเพาะปลูกกุหลาบครั้งแรก พบว่าเกิดขึ้นในอารยธรรมเปอร์เซีย คาบสมุทรทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และประเทศจีน ในทวีปเอเชีย เมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล มักถูกนำมาเป็นส่วนผสมของการทำขนม ไวน์ ยา และน้ำหอมในอดีต โดยในอารยธรรมโรมัน ดอกกุหลาบ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก จากการที่ตำนานกล่าวว่าดอกกุหลาบ ถือกำเนิดพร้อมกับ อโฟรไดท์ หรือ วีนัส เทวีแห่งความรัก โดยที่เป็นสีแดง เกิดขึ้นจากน้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า ไปโดนดอกกุหลาบ ทำให้กลายเป็นสีแดง ขณะที่อีกตำนานกล่าวว่า ขณะไปช่วยชายคนรัก อโฟรไดท์ ถูกหนามของดอกกุหลาบทิ่มแทง ทำให้เลือดของเธอหยดลงบนดอกไม้จนกลายเป็นสีแดง

     ความสวยงามและความหมายที่ดี ทำให้ดอกกุหลาบมักถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในระยะหลังโดยตลอด จนกระทั่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสองตระกูล ผู้สืบสายเลือดราชวงศ์อังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 15 คือ ยอร์ก และ แลงคาสเตอร์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายใช้กุหลาบสีขาวและแดงเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลโดยลำดับ โดยถึงแม้จะมีบรรพบุรุษร่วมสายเลือด แต่เมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ความขัดแย้งที่ก่อตัวจากความต้องการอำนาจและตำแหน่งกษัตริย์แห่งเกาะอังกฤษ ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างไม่คิดชีวิต และกลายเป็นสงครามที่เปลี่ยนโฉมหน้าอังกฤษ โดยเหตุที่ทั้งสองฝ่ายต่างใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบ ทำให้มีการเรียกขานศึกครั้งนี้ว่า สงครามดอกกุหลาบ

 

ภาพกุหลาบขาว-แดง สัญลักษณ์ประจำตระกูลยอร์ก-แลงคาสเตอร์

     โดยชื่อนี้มิได้เป็นชื่อที่ใช้กันในระหว่างสงคราม แต่เป็นชื่อที่มานิยมเรียกกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากการพิมพ์หนังสือชื่อ “แอนน์แห่งไกเออร์สไตน์” (Anne of Geierstein) โดยเซอร์วอลเตอร์ สกอตต์ ซึ่งสกอตต์ได้แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อสงครามครั้งนั้น จากฉากหนึ่งในบทละครเรื่อง “พระเจ้า   เฮนรี่ที่ 6 ตอนที่ 1” โดยวิลเลียม เชกสเปียร์ อันเป็นฉากที่ฝ่ายยอร์กและแลงคาสเตอร์ เลือกดอกกุหลาบสีต่างกันที่วัดเทมเพิล เพื่อแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

     สาเหตุความขัดแย้ง เกิดขึ้นจากการที่ทั้งฝ่ายแลงคาสเตอร์และยอร์ก ต่างก็มีสิทธิในการสืบราชสมบัติ จากการเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์แพลนแทเจเน็ต แต่เนื่องจากเฮนรี่ที่ 4 แห่งตระกูลแลงคาสเตอร์ แย่งชิงราชสมบัติจาก ริชาร์ดที่ 2 และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทำให้ตระกูลแลงคาสเตอร์ขึ้นปกครองอังกฤษได้ก่อน ครั้นเมื่อเข้าสู่รัชกาลพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 จากการขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วัยเยาว์ อันทำให้การปกครองตกอยู่ภายใต้อำนาจของขุนนางน้อยใหญ่ ทั้งยังมีพระสติวิปลาสบ่อยครั้ง จนไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐสภาอังกฤษจึงได้แต่งตั้งให้ริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ก เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อันทำให้ตระกูลยอร์กมีอำนาจมากขึ้นนับแต่นั้น

 

(ซ้าย) พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6, (ขวา)  แผนที่แสดงสมรภูมิสำคัญในสงครามดอกกุหลาบ

     การใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขจัดผู้ที่สนับสนุนพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ออกไป อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพทำสงครามกับฝรั่งเศสในสงครามร้อยปี อันทำให้สามารถควบคุมกองทัพส่วนใหญ่ของเกาะอังกฤษไว้ ทำให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 คิดหาทางกำจัดอิทธิพลของฝ่ายยอร์กออกไปจากราชสำนักแลงคาสเตอร์ สงครามดอกกุหลาบจึงเริ่มขึ้น เมื่อทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกันที่สมรภูมิเซนต์ออลบันส์ (St. Albans) ครั้งที่ 1 ในค.ศ. 1455 โดยฝ่ายแลงคาสเตอร์พ่ายแพ้อย่างหมดรูป สูญเสียไพร่พลรวมทั้งขุนนางผู้สนับสนุนสำคัญอย่าง ดยุคแห่งซัมเมอร์เซต และ เอิร์ลแห่งนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ไป ฝ่ายยอร์กจึงขึ้นมามีอำนาจในราชสำนักอย่างมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี ดยุคแห่งยอร์กมิได้โค่นล้มราชบัลลังก์แต่อย่างใด หากแต่เพิ่มพูนอำนาจตนเองด้วยการสถาปนาตนขึ้นเป็น ผู้อารักขา (Lord protector) ในช่วงที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ยังทรงพระสติฟั่นเฟือนอยู่

     เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ทรงมีพระสติสัมปชัญญะกลับคืนมา และต้องการทวงคืนอำนาจในการปกครอง จึงได้ทรงสร้างฐานอำนาจของพระองค์ขึ้นใหม่ ด้วยการปลดขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งโดยดยุคแห่งยอร์กออกจากตำแหน่ง พร้อมกับแต่งตั้งให้ดยุคแห่งยอร์กเป็นข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์ การสูญเสียอำนาจการปกครองในส่วนกลางสร้างความไม่พอใจแก่ฝ่ายยอร์ก จนนำมาซึ่งสงครามแย่งชิงอำนาจอีกครั้ง ผลของสงครามในครั้งนี้ ฝ่ายแลงคาสเตอร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกครั้ง เมื่อฝ่ายยอร์กนำโดยเอิร์ลแห่งวอรร์ริก สามารถเอาชนะกองทัพของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ในสมรภูมินอร์ธแธมป์ตัน ได้ใน ค.ศ. 1460 โดยถึงแม้ฝายยอร์กจะชนะสงคราม แต่จากการที่รัฐสภายังคงมีมติเห็นชอบให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ยังคงครองราชสมบัติได้ต่อไป ดยุคแห่งยอร์กจึงได้เรียกร้องให้มีการตราพระราชบัญญัติแห่งการยินยอม (Act of Accord) ที่ทำให้ ดยุคแห่งยอร์กเป็นทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์อังกฤษ แทนที่จะเป็น เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6

     ถึงแม้จะพ่ายแพ้และอำนาจในการปกครองประเทศ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลยอร์กแทบทั้งหมดแล้ว แต่ฝ่ายแลงคาสเตอร์ยังคงไม่ยอมแพ้ ยังคงรวบรวมกำลังพลเข้าสู้รบเพื่อชิงอำนาจกลับคืน โดยพระนางมาร์กาเร็ต พระมเหสีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 พร้อมทั้งเหล่าขุนนาง หลังจากได้หนีขึ้นไปยังภาคเหนือก็ได้ขึ้นไปรวบรวมกำลังไพร่พล พร้อมทั้งขอยืมกำลังทหารจากเวลส์และสกอตแลนด์เข้ามาเสริมทัพ เพื่อก่อสงครามอีกครั้ง

     หนนี้ฝ่ายแลงคาสเตอร์เป็นฝ่ายได้เปรียบในระยะแรก เมื่อสามารถสังหาร ริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ก ได้ในสมรภูมิเวกฟิลด์ แต่จากการที่กองทัพของพระนางมาร์กาเร็ต ไม่มีทรัพย์สินและเสบียงอาหาร อันทำให้การเลี้ยงดูกองทัพซึ่งประกอบด้วยชาวต่างชาตินั้น ต้องอาศัยการปล้นสดมภ์เป็นสำคัญ อำนาจอันชอบธรรมของฝ่ายแลงคาสเตอร์จึงหมดไปโดยปริยาย พร้อมกับฐานอำนาจของยอร์กที่แข็งแรงขึ้นจากการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและรัฐสภา และเมื่อ เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช บุตรชายของริชาร์ด ผู้ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งดยุคแห่งยอร์กแทนบิดา สามารถเอาชนะฝ่ายแลงคาสเตอร์ในศึกที่นองเลือดที่สุดของสงครามดอกกุหลาบได้ที่ สมรภูมิโทว์ทัน (Towton) สิทธิในการขึ้นปกครองแผ่นดินอังกฤษจึงเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4

     อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ที่เป็นกำลังสำคัญของฝ่ายยอร์กมาโดยตลอดอย่าง เอิร์ลแห่งวอร์ริก ไม่พอใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่เอื้อประโยชน์แก่ตน ทำให้เขาคิดโค่นล้มอำนาจฝ่ายยอร์ก และนำฝ่ายแลงคาสเตอร์ นำโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 และพระนางมาร์กาเร็ต ซึ่งได้หนีไปยังฝรั่งเศส กลับเข้ามาปกครองอังกฤษอีกครั้ง สงครามจึงปะทุขึ้น โดยฝ่ายแลงคาสเตอร์ก่อการไม่สำเร็จ เมื่อเอิร์ลแห่งวอร์ริกถูกสังหารในสมรภูมิบาร์เนต (Barnet) เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รัชทายาทฝ่ายแลงคาสเตอร์ก็ถูกสังหารในการรบที่ทิวคส์บูรี (Tewkesbury) ทั้งพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ในเวลาต่อมาก็ถูกลอบปลงพระชนม์ ตระกูลยอร์ก ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 จึงนับว่ามีเสถียรภาพในชั่วขณะหนึ่ง

ภาพการรบที่สมรภูมิทิวคส์บูรี (Tewksbury)

     ที่ว่าชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากยังมีเชื้อพระวงศ์ฝ่ายแลงคาสเตอร์ ที่ยังมีสิทธิในการสืบราชสมบัติอยู่องค์หนึ่ง คือ เฮนรี่ ทิวดอร์ ที่พร้อมจะกลับมาทวงคืนอำนาจ เมื่อราชบัลลังก์แห่งอังกฤษเกิดความระส่ำระสาย จากการเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 โดยเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 สิ้นพระชนม์ และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชันษา 12 ปี ราชวงศ์ยอร์กก็เกิดความปั่นป่วน เมื่อดยุคแห่งกลอสเตอร์ พระอนุชาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ผู้เป็นพระปิตุลา ได้เข้ายึดอำนาจพร้อมกับสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 โดยการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ถือว่าเป็นการทำให้ราชวงศ์ยอร์กเสื่อมอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากไม่เพียงทรงไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน จนเหล่าขุนนางพระและบาทหลวงเกิดความไม่พอใจเท่านั้น ยังได้กำจัดเชื้อพระวงศ์ฝ่ายยอร์กด้วยกันเองจนหมดสิ้นอีกด้วย โดยเฉพาะที่เป็นที่กล่าวขานกันมาถึงภายหลังก็คือ การปลงพระชนม์พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และเจ้าชายริชาร์ด พระอนุชา ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพระองค์เอง ในหอคอยลอนดอน ทั้งที่ทั้งสองเพิ่งมีพระชันษาเพียง 13 ปี และ 10 ปีเท่านั้น

 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และเจ้าชายริชาร์ด ในหอคอยลอนดอน วาดโดย จอหน์ เอเวอเรทท์ มิเลย์

     ความเสื่อมโทรมของราชสำนักยอร์ก เป็นเหตุให้ เฮนรี่ ทิวดอร์ นำกำลังไพร่พลฝ่ายแลงคาสเตอร์กลับมาเพื่อทวงคืนสิทธิในราชบัลลังก์ โดยได้รับการสนับสนุนตลอดทางจากประชาชนระหว่างกลับมาจากฝรั่งเศส และเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่สมรภูมิบอสเวิร์ธฟิลด์ (Bosworth Field) ในค.ศ.1485 ฝ่ายแลงคาสเตอร์นำโดย เฮนรี่ ทิวดอร์ ก็สามารถเอาชนะฝ่ายยอร์กสำเร็จ โดยพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ได้สิ้นพระชนม์ในการรบครั้งนี้ด้วย เป็นอันปิดฉากสงครามดอกกุหลาบที่ดำเนินมากว่า 30 ปีได้สำเร็จ

โดยภายหลังได้รับชัยชนะ เพื่อปิดฉากความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างยาวนานของฝ่ายแลงคาสเตอร์และยอร์ก เฮนรี่ ทิวดอร์ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอลิซาเบธแห่งยอร์ก  พระราชธิดาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เพื่อผสานสองสายเลือดให้เป็นหนึ่งเดียวและไม่ให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างแลงคาสเตอร์และยอร์กอีกต่อไป อีกทั้งยังได้รวมเอาสัญลักษณ์กุหลาบสีขาวและแดง อันเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละตระกูล รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวภายใต้สัญลักษณ์ของราชวงศ์ทิวดอร์ ราชวงศ์ใหม่ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นด้วย โดยทรงเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 

ภาพสัญลักษณ์ราชวงศ์ทิวดอร์ ที่เกิดจากการรวมสัญลักษณ์ฝ่ายแลงคาสเตอร์-ยอร์ก เข้าด้วยกัน 

     ในรัชสมัยของพระองค์ ทรงวางรากฐานต่อการเป็นมหาอำนาจของอังกฤษในเวลาต่อมาในหลาย ๆ ด้าน จากนโยบายและการปฏิรูปการปกครองในด้านต่าง ๆ เช่น การลดอำนาจของเหล่าขุนนาง ส่งเสริมระบบรัฐสภา อันทำให้การปกครองจากส่วนกลางมีเสถียรภาพมากขึ้น การส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศ อันทำให้มีการต่อเรือเพื่อค้าขายรวมถึงเพื่อทำสงคราม เป็นต้น

     โดยถึงแม้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายแลงคาสเตอร์และฝ่ายยอร์กจะสิ้นสุดไป นับตั้งแต่ราชวงศ์ทิวดอร์ได้หลอมรวมทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน แต่รากเหง้าความขัดแย้งจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ดังกล่าว ก็ได้ส่งผลให้ทั้งสองทีมที่มาจากดินแดนที่ทั้งสองฝ่ายต่างเคยมีอำนาจ ต้องกลายเป็นคู่รักคู่แค้นไปโดยปริยาย นั่นคือ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลีดส์ ยูไนเต็ด โดยจากการที่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในแถบแลงคาเชียร์ อีกทั้งมีสีแดงเป็นสีประจำทีม เหมือนดั่งสีของดอกกุหลาบแดง ทำให้ทีมปีศาจแดงกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายแลงคาสเตอร์ ขณะที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด จากการอยู่แถบยอร์กเชียร์ มีสีขาวเป็นสีประจำทีม เหมือนดอกกุหลาบสีขาว ทำให้ทีมนกยูงทอง กลายเป็นตัวแทนของฝ่ายยอร์ก

     แข่งกันเพื่อเอาชนะก็ว่ามันส์แล้ว การมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็ยิ่งทำให้การแข่งขันของทั้งสองทีมนั้น ทวีความหมายยิ่งกว่าชัยชนะในเกมกีฬามากขึ้นไปอีก จึงทำให้ทั้งสองทีมนี้เวลาเจอกันทีไร เป็นต้องฟาดแข้งกันอย่างดุเดือด ราวกับกองทัพของทั้งสองฝ่ายกลับมาสู้รบเอาเป็นเอาตายอีกครั้งก็ไม่ปานเลยทีเดียว ดังแมตช์การแข่งขันในถ้วยเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ฤดูกาล 1964 -1965 ที่ถึงแม้ทั้งสองทีมจะเสมอกันด้วยสกอร์ 0 – 0 แต่เกมการแข่งขันก็เป็นไปด้วยความเข้มข้นดุเดือด เมื่อแจ็คกี้ ชาร์ลตัน ของลีดส์ ยูไนเต็ด สาวหมัดเข้าใส่ เดนนิส ลอว์ ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างพัลวัน ผลสุดท้าย ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ได้เข้ารอบด้วยการชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้ ในรอบรีเพลย์

ภาพการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลีดส์ ยูไนเต็ด 

     โดยถึงแม้นักเตะและแฟนบอลแต่ละทีม จะรู้สึกขัดแย้งกับอีกฝ่ายหนึ่ง สืบเนื่องจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ที่มีสงครามดอกกุหลาบเป็นต้นเหตุ อย่างไรก็ตาม ต้นเหตุดังกล่าวก็มิได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างต้องถึงขั้นทำร้ายกัน เหมือนดั่งในอดีตแต่อย่างใด คงเป็นเพียงแค่สีสันและเสน่ห์ของฟุตบอลที่ทำให้การแข่งขันนั้นมีความหมายขึ้นในอีกระดับ สงครามดอกกุหลาบในสมัยนี้ หากจะมีจึงไม่ได้เป็นการฟาดฟันด้วยคมดาบอีกต่อไป หากแต่เป็นการฟาดฟันด้วย คมแข้ง และเอาชนะกันด้วยสกอร์ที่แต่ละฝ่ายทำได้

     เช่นเดียวกับ ดอกกุหลาบ ถึงแม้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นสัญลักษณ์ของคู่ขัดแย้งทางอำนาจ และสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ที่สืบเนื่องในอังกฤษยาวนานกว่า 30 ปี อย่างไรก็ตาม ก็มิได้ลบล้างความจริงที่ว่า มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่คนทั่วโลกต่างให้การยอมรับว่าเป็น สัญลักษณ์แห่งความรัก แต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ดอกกุหลาบ จึงยังคงเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักของมนุษย์ที่มีต่อกันอย่างไม่เสื่อมคลายเสมอมา ในโอกาสที่วันวาเลนไทน์กำลังใกล้เข้ามาถึงนี้ รักใคร ชอบใคร หากนึกหาของขวัญไม่ออก ก็อย่าลืมซื้อดอกกุหลาบสักดอก เตรียมเอาไว้ให้คนที่คุณรักกันนะครับ

 

ข้อมูล: ประวัติศาสตร์อังกฤษ โดย เอี่ยม ฉายางาม

ภาพ: pitchero.com, britannica.com,history.com, smmonline.net